หลังจาก PART 1 และ PART 2 ผมแยกจากคณะทัวร์แล้วอยู่ต่อเที่ยวเองคนเดียว หลังจากอยู่ที่เตหะรานต่ออีก 1 วัน ก็เดินทางโดยเครื่องบินมาลงที่ชีราซครับ จากนั้นก็นั่งรถขึ้นไปเรื่อย ๆ ผ่านโบราณสถานเปอร์ซีโปลีส ขึ้นไปที่อิสฟาฮาน แวะหมู่บ้านระหว่างทางอีกเล็กน้อย แล้วกลับไปที่เตหะรานและก็บินกลับไทยครับ
เส้นทางนี้นักท่องเที่ยวนิยมเรียกกันว่า “classic Iran” และเป็นเส้นทางที่ทัวร์มักจะจัดกันครับ
5 ส.ค. 66 ชีราซ
ผมว่าชีราซเป็นเมืองที่เที่ยวสนุกครับ เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่ยุคโบราณ ตั้งแต่ยุคจักรวรรดิอะคีเมนิด หรือเปอร์เซียโบราณที่บุกไปตีกรีก ก็มีศูนย์กลางอยู่เปอร์ซีโปลีสใกล้ ๆ ชีราซ สมัยอาหรับเรืองอำนาจ ชีราซก็เป็นศูนย์กลางในย่านนี้เทียบเคียงกับแบกแดด ตัวเมืองผ่านการปกครองจากหลายยุคสมัย โดยยุคที่รุ่งเรืองที่สุดน่าจะเป็นยุคของราชวงศ์ซานด์ (Zand dynasty) ที่กษัตริย์การิม ข่านเคยใช้ชีราซเป็นเมืองหลวง ก่อนที่ราชวงค์คาจาร์ (กอญัร) จะขึ้นสู่อำนาจและย้ายเมืองหลวงไปเตหะราน เสน่ห์อย่างหนึ่งของการเที่ยวในชีราซก็คือสถาปัตยกรรมที่ผสมปนกันของหลายยุคสมัยนี่แหละครับ
การเที่ยวในชีราซจนถึงอิสฟาฮานนี้ผมใช้บริการ driver guide ชื่อคุณไมค์ (สนใจติดต่อได้นะครับ มี contact อยู่) เขาคิดค่าบริการวันละ 50 USD สำหรับการเป็นไกด์ ส่วนค่าคนขับผมจ่ายเหมาไปก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่ที่ไทย โดยรวมผมว่าเวิร์คนะครับ เขาอธิบายละเอียดมากในแต่ละจุด
มัสยิดนาซีรอัลมุลก์ (Nasir al-Mulk Mosque – The Pink Mosque)
ต้องบอกว่ามัสยิดนี้แหละครับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมอยากมาเที่ยวอิหร่านซักวัน ตั้งแต่สักสิบปีก่อนได้ ถ้าพูดถึงเที่ยวอิหร่านต้องมีภาพของมัสยิดนี้อยู่ เป็นภาพมัสยิดที่มีแสงลอดมาจากกระจก เห็นเป็นสีชมพูสวยงาม แต่ประเด็นสำคัญที่ควรทราบก็คือ ถ้าอยากเห็นแสงเยอะ ๆ ในห้อง ต้องไปหน้าหนาวนะครับ ผมก็เพิ่งทราบตอนไปถึงนี่แหละครับว่าถ้าไปหน้าร้อนแบบผม ถึงไปกี่โมงก็เห็นแสงสอดผ่านกระจกไม่กี่เมตร 😆
มัสยิดนี้สร้างโดยชนชั้นสูงในจังหวัดฟาร์ส (จังหวัดที่เมืองชีราซตั้งอยู่) ในสมัยคาจาร์ชื่อ Mirza Hasan Ali หรืออีกชื่อว่านาซีรอัลมุลก์ เหมือนชื่อมัสยิดนี่แหละครับ เท่าที่อ่านประวัติเหมือนเขาสร้างให้เป็นที่ฝังศพพ่อและตระกูลของเขา สร้างเสร็จปีค.ศ. 1888 และต่อมาก็อยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิและเปิดให้เข้าชมในปัจจุบัน



เรื่องกระจกสีนี่ ผมก็ไม่แน่ใจว่าสรุปยังไงนะครับ อ่านจากบางแหล่งก็บอกสีนี้มานานแล้ว แต่บางแหล่งก็บอกว่าแต่ก่อนก็สีธรรมดานี่แหละ เพิ่งมาเปลี่ยนสีเอาปีค.ศ. 1969 ส่วนในด้านการตกแต่งอื่น ๆ จะเห็นเอกลักษณ์ของราชวงศ์คาจาร์อยู่พอสมควรคือการใช้กระเบื้องที่มีลวดลายแบบยุโรป (ไกด์ผมเรียกว่า the Europe lover 😆) หากไปที่อีกด้านหนึ่งของมัสยิดจะมีอาคาร ข้างในมีบ่อน้ำที่มีวัว (cow well) เอาไว้ลากตักน้ำจากบ่อน้ำขึ้นมาไว้ใช้
Zinat Al-Molk Historical House
จริง ๆ ผมตั้งใจจะไปที่บ้านตระกูล Qavam (Qavam house) เป็นอดีตบ้านของเศรษฐีในสมัยราชวงศ์คาจาร์เช่นกัน บ้านนี้มีสวนชื่อ Narenjestan garden (garden of sour orange) เห็นคุณปั๊ปแนะนำว่าสวย ต้องไป แต่ปรากฏว่าวันนั้นสวนปิด ไปไม่ได้ ก็เลยได้ไปพิพิธภัณฑ์อีกแห่งหนึ่งที่เคยเป็นบ้านของตระกูล Qavam เช่นกัน มีทางเดินใต้ดินเชื่อมระหว่าง Qavam house กับอาคารนี้








Khan School
เป็นโรงเรียนที่ก่อตั้งสมัยซาฟาวิด แรกเริ่มเป็นโรงเรียนทางศาสนาที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในแถบนี้ ต่อมาเหมือนจะใช้ทำอย่างอื่น ปัจจุบันไกด์บอกก็ยังใช้อยู่ แต่ผมฟังไม่ค่อยออกว่ายังใช้ทำอะไรบ้าง



กลุ่มอาคารวาคิล (Vakil complex)
ถัดจากโรงเรียนมาไม่ไกลจะมาถึงส่วนที่เรียกว่า Vakil complex ซึ่งประกอบด้วยสถานที่ท่องเที่ยว 3 แห่ง คือ 1. ตลาดวาคิล (Vakil bazaar) 2. มัสยิดวาคิล (Vakil mosque) 3. โรงอาบน้ำวาคิล (Vakil bathhouse) จริง ๆ เมืองเก่าในอิหร่านจะมีกลุ่มอาคารแบบนี้ทั้งหมด ถ้าเป็นเมืองหลวงก็จะมีพระราชวังเพิ่มมาและมัสยิดก็จะมีสองแห่ง แห่งหนึ่งให้กษัตริย์ใช้ อีกแห่งให้ประชาชนใช้ จะเห็น pattern แบบนี้ที่อิสฟาฮานเช่นกัน
Vakil complex นี้สร้างโดยกษัตริย์การิม ข่าน ในสมัยราชวงศ์ซานด์ (ศตวรรษที่ 18) ที่ย้ายเมืองหลวงมาชิราซ ตอนที่สร้างเมืองพระองค์ได้แรงบันดาลใจจากจัตุรัสนัคชิญะฮาน (Naqshe Jahan Square) ในอิสฟาฮาน เลยสร้างเมืองด้วย pattern เดียวกัน มีกลุ่มอาคาร Vakil complex นี้อยู่ใกล้ ๆ กับป้อมการิม ข่าน (ซึ่งก็คือวัง) แต่น่าเสียดายที่ในสมัยราชวงศ์คาจาร์มีการทำลายอาคารที่สร้างในสมัยราชวงศ์ซานด์จำนวนมาก (เพราะเขาเกลียดกัน)
ตลาดวาคิล (Vakil Bazaar)
ผมเริ่มเดินทางจากตลาดก่อน แต่โดยรวมก็ไม่ต่างจาก bazaar อื่น ๆ ที่ไปมาเท่าใดนัก เลยไม่ได้ลงรูปอะไรเยอะ แต่จริง ๆ ไกด์อธิบายเยอะเหมือนกันครับ


มัสยิดวาคิล (Vakil Mosque)
เดินมาจากตลาดไม่ไกลก็จะมาถึงมัสยิดวาคิล






ป้อมการิม ข่าน (Karim Khan Citadel)
เดินมาไม่ไกลก็จะมาถึงป้อมการิม ข่าน ซึ่งจริง ๆ ก็คือวังของกษัตริย์การิม ข่าน แต่เนื่องจากเวลาน้อย เลยได้แต่มองจากข้างนอกครับ แต่เท่าที่ฟังจากไกด์เขาบอกข้างในก็ไม่ได้อลังการเหมือนข้างนอกเท่าไหร่ เน้นเป็นสวนมากกว่า



Pars Museum
เดิมเป็นอาคารรับรองแขกของกษัตริย์การิม ข่าน และได้ใช้เป็นที่ฝังศพของพระองค์เอง ซึ่งต่อมาพระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด ข่าน (ราชวงศ์คาจาร์) ก็มาขุดศพไปฝังไว้ที่บันไดที่พระราชวังโกเลสตานเพื่อจะได้เหยียบทุกวันเวลาไปทำงาน (อย่างที่บอกว่าเขาเกลียดกัน) แต่ต่อมาก็มีการย้ายพระศพกลับมาที่นี่เหมือนเดิมนะครับ
หลังจากนั้นก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ภายในมีคัมภีร์อัลกุรอานที่เขียนด้วยมือชิ้นสำคัญหลายเล่ม ภายนอกเป็นสวนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยซาฟาวิด (เป็นสวนอยู่เดิม การิม ข่านมาสร้างอาคารเพิ่มในสวน)


สวนอีแรม (Eram Garden)
เป็นสวนตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 12 และก็ได้รับการพัฒนาและเปลี่ยนเจ้าของเรื่อยมา จนมาถึงยุคคุณนาซีรอัลมุลก์ (คนเดียวกับที่สร้างมัสยิดนาซีรอัลมุลก์) ก็มีการสร้างอาคารตรงกลาง (pavillion) ขึ้น ต่อมาสวนนี้ก็ตกเป็นของมหาวิทยาลัยชีราซ และได้เป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก
ภายในเป็นส่วนแบบเปอร์เซียและมีอาคารอยู่ตรงกลาง ไกด์เล่าให้ผมฟังว่าสวนเปอร์เซียมักมีส่วนประกอบสำคัญ 4 อย่าง 1. เป็นส่วนสี่เหลี่ยมและแบ่งออกเป็น 4 ส่วน 2. แต่ส่วนมีน้ำตรงกลาง ผมลืมแล้วว่าข้อ 3 และ 4 คืออะไร จำได้แค่ว่าหนึ่งในสวนแบบเปอร์เซียที่ทั่วโลกรู้จักกันเยอะที่สุดก็คือทัชมาฮาลที่อินเดียนั่นเอง


ทะเลสาบมาฮาร์ลู (Maharloo Lake – Pink Lake)
เป็นทะเลสาบเกลือไม่ไกลจากเมืองชิราซ ผมอ่านก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันครับว่าเป็นสีชมพูเพราะอะไร แต่ Wikipedia บอกเป็นจากปรากฏการณ์ขี้ปลาวาฬ (red tide) ซึ่งเกิดจากการเพิ่มขึ้นจำนวนมากของสาหร่ายเซลล์เดียว แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันครับว่าทำไมมาเกิดที่นี่ อย่างไรก็ดีก็สวยดีครับ
เนื่องจากตอนนี้เป็นหน้าร้อน น้ำแห้งเกือบหมด ลงไปเดินย่ำเกลือได้เลย ถ้าเป็นฤดูอื่นอาจมองเห็นได้จากใกล้ ๆ ถนน ไม่ต้องลงไปเดินก็ได้


เกิดเหตุเล็กน้อยตอนที่ผมไปที่ทะเลสาบนี้ครับ คือไกด์เขาก็หวังดีอยากให้ได้เห็นใกล้ ๆ ก็เลยขับรถพาลงไปในทะเลสาบ สรุปว่ารถติดหล่มครับ ยาวเลยคราวนี้ ตามคนมาช่วย คนที่มาช่วยก็ติดหล่มไปด้วยอีกคน สรุปไกด์ก็เสียหายหนักเหมือนกันครับ 😅






6 ส.ค. 66 เปอร์ซีโปลิส (Persepolis)
จริง ๆ แพลนเดิมคือจะไปสุสานฮาเฟซเมื่อวาน แต่ว่าเกิดเหตุที่ทะเลสาบเสียก่อนก็เลยไม่ได้ไป วันนี้ก็เลยมาเก็บครับ จากนั้นก็เดินทางต่อไปเปอร์ซีโปลิสและเนโครโปลิส ที่เหลือก็คืออยู่บนรถยาว ๆ ไปจนถึงอิสฟาฮานครับ
สุสานฮาเฟซ (Tomb of Hafez)
ฮาเฟซเป็นกวีเอกของชาวอิหร่าน เกิดในเมืองชีราซ เนื่องจากบทกวีที่เขาแต่งเป็นที่ซาบซึ้งตรึงใจของหลายยุคหลายสมัย สุสานของเขาจึงได้รับการเคารพและปรับปรุงเรื่อยมา ตัวผมเองไม่เคยอ่านงานของฮาเฟซ แต่ไกด์ก็เล่าให้ฟังอยู่ว่าเขาชอบมาก ไกด์พยายามบรรยายกวีให้ฟัง แต่ผมไม่เข้าใจ 555 เท่าที่อ่านดูเหมือนชาวอิหร่านจะชอบงานของฮาเฟซกันมากในเชิงปรัชญาการใช้ชีวิต บางแหล่งก็บอกว่าเป็นหนังสือที่ต้องมีทุกบ้าน คล้าย ๆ คัมภีร์อัลกุรอาน


เปอร์ซีโปลิส (Persepolis)
จากตัวเมืองชีราซประมาณ 1 ชม. เราก็มาถึงเปอร์ซีโปลิส (Persepolis) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งมรดกโลกของยูเนสโก เป็นโบราณสถานตั้งแต่ยุคสมัยจักรวรรดิอะคีเมนิด ซึ่งถือได้ว่าเป็นจักรวรรดิเปอร์เซียแห่งแรก (ก่อนหน้านี้เป็นเมืองเล็ก ๆ อยู่กันหลวม ๆ จนมารวมกันเป็นเปอร์เซียในยุคนี้) โดยพระเจ้าไซรัสที่ 2 หรือไซรัสมหาราช แต่คนที่มาสร้างเมืองตรงนี้คือพระเจ้าดาริอุสมหาราชกษัตริย์องค์ที่ 4 ของจักรวรรดิ (พระบิดาของกษัตริย์เซอร์เซสที่ 1 ซึ่งถ้าท่านใดเคยดูหนัง 300 ก็คือกษัตริย์เปอร์เซียคนนั้นแหละครับ 😆)
คำว่าเปอร์ซีโปลิส มาจาก เปอร์ซี (ชาวเปอร์เซีย) + โปลิส (เมือง) รวมเป็นเมืองของชาวเปอร์เซีย เป็นคำที่ชาวกรีกใช้เรียกเมืองนี้ นักโบราณคดีส่วนหนึ่งเชื่อว่าเปอร์ซีโปลิสเคยเป็นเมืองหลวงของอะคีเมนิด แต่บางส่วนก็เชื่อว่าน่าจะเป็นเมืองพิธีกรรมมากกว่าไม่ใช่เมืองหลวง เพราะอยู่ค่อนข้างใกล้จากที่อื่น และรอบ ๆ ก็ดูไม่ได้มีร่องรอยความเป็นเมืองอะไร โดยเป็นเมืองที่ใช้ประกอบพิธีในช่วงโนรูซ (Noruz) หรือปีใหม่ของชาวเปอร์เซีย ซึ่งตรงกับ Spring equinox (วันที่กลางวันยาวเท่ากับกลางคืน) โดยเมืองประเทศราชต่าง ๆ จะนำเครื่องบรรณาการต่าง ๆ มาถวายให้กษัตริย์ ณ เปอร์ซีโปลิสแห่งนี้
เปอร์ซีโปลิสถูกทำลายลงโดยเพลิงไหม้ในสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชของกรีกไปบุกเปอร์เซีย นักโบราณคดีไม่แน่ใจว่าการทำลายนี้เกิดโดยอุบัติเหตุ หรือเป็นความตั้งใจที่จะแก้แค้นที่เปอร์เซียเคยไปเผาอะโครโปลิสที่เอเธนส์ อย่างไรก็ดีหลังการบุก เล็กซานเดอร์ก็ขนสมบัติมีค่าไปหมด หลังจากนั้นก็ถูกทิ้งร้าง
เกร็ดเล็กน้อย: พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี (กษัตริย์องค์สุดท้าย) ได้ใช้เปอร์ซีโปลิสเป็นสถานที่จัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 2,500 ปีอาณาจักรเปอร์เซีย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นการเฉลิมฉลองที่สิ้นเปลืองอย่างมาก เป็นหนึ่งในชนวนให้เกิดการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านในเวลาต่อมา
เพื่อความเข้าใจภาพรวมของสถานที่ต่าง ๆ ในนี้ ขออนุญาตใช้ภาพจากคุณ Gatis Pāvils ประกอบ (ที่มา: Wondermondo)

จุดที่เด่น ๆ จริง ๆ มีดังนี้
- Great staircase บันได้ทางขึ้น
- Gate of all nations (คำว่า prophylaea ในภาพด้านบน) เป็นประตูเข้าสู่เปอร์ซีโปลิส
- Apadana palace เป็นสถานที่ประกอบพิธีหลักของที่นี่
- Palace of xxx เป็นวังส่วนตัวของกษัตริย์ต่าง ๆ
- Queen’s apartment ที่อยู่ราชินี
- Tresury ห้องเก็บสมบัติ ไม่เหลืออะไรแล้ว เหลือแค่หลักฐานการจ่ายเงิน แสดงให้เห็นว่าคนที่มาสร้างเปอร์ซีโปลิสไม่ใช่ทาส แต่เป็นแรงงานที่ได้รับค้าจ้าง
- Hall of 100 columns เป็นที่ไว้รับรองแม่ทัพ
- Hall of 32 columns ไม่ทราบว่าเอาไว้ทำอะไร












Naqsh-e Rostam หรือนครแห่งความตาย เนโครโปลิส (Necropolis)
จริง ๆ ก็คือสุสานของอดีตกษัตริย์ในสมัยอะคีเมนิด 4 พระองค์ โดยด้านล่างจะมีรูปแกะสลักในสมัยจักรวรรดิซาเซเนียน (ประมาณศตวรรษที่ 5) มาแกะสลักเพิ่มเข้าไป ซาเซเนียนเป็นยุคที่เปอร์เซียกลับมามีอำนาจอีกครั้งหลังโดนกรีกตีแตกไป เรียกว่าจักรวรรดิเปอร์เซียที่ 2 (the second persian empire) ก่อนจะโดนอาหรับเข้ามาตี และเกิดความโกลาหลเปลี่ยนราชวงศ์หลายรอบจากหลายรัฐแถบนั้นตามมา จนเริ่มมาสงบอีกครั้งในยุคซาฟาวิด (the third persian empire)


ถ้าคู่ปรับสำคัญสมัยอะคีเมนิดของเปอร์เซียคือกรีก คู่ปรับของซาเซเนียนก็คือโรมันครับ หนึ่งในภาพแกะสลักจะเป็นเรื่องราวการเอาชนะจักรวรรดิโรมันและจับจักรพรรดิวาเลเรียนมาเป็นตัวประกัน แต่ก็มีภาพแกะสลักถึงชัยชนะอื่น ๆ เช่นกันครับ





หลังจากนั้นเราก็อยู่บนรถกันต่ออีกกว่า 5 ชั่วโมง ก็ไปถึงอิสฟาฮาน
The Abbasi Hotel
สำหรับที่พักในคืนนี้ ผมพักที่โรงแรมอับบาสซี่ ซึ่งนับได้ว่าเป็นหนึ่งในโรงแรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เพราะในอดีตเคยเป็น สถานีคาราวาน (Caravanserai) หรือจุดพักแรมของกองคาราวาน ตัวอาคารที่ได้รับการก่อสร้างในยุคซาฟาวิด (ราว 400 ปีก่อน)



จริง ๆ ส่วนอื่น ๆ ของโรงแรมก็สวยนะครับ แต่เพื่อไม่ให้รูปเยอะไปเลยเอาเท่านี้ดีกว่า
7 ส.ค. 66 อิสฟาฮาน (Isfahan)
“อิสฟาฮานคือครึ่งโลก Isfahan is half the world” น่าจะเป็นโควทที่แสดงความยิ่งใหญ่ในอดีตของเมืองนี้ได้เป็นอย่างดี หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างครึ่งหนึ่งในโลกอยู่ที่นี่หมดแล้ว
อิสฟาฮานเป็นเมืองที่อยู่มานานมากเช่นกันครับ พื้นที่แถบนี้มีคนอยู่อาศัยมาตั้งแต่ก่อนยุคอะคีเมนิด แต่ว่าจุดเปลี่ยนสำคัญครั้งแรกเกิดในยุคราชวงศ์เซลจุกและราชวงส์ซาฟาวิด ที่ได้ใช้อิสฟาฮานเป็นเมืองหลวง ทำให้เกิดการพัฒนาเมืองอย่างมากในสองยุคนี้
เกร็ดประวัติศาสตร์เล็กน้อย หลังยุคซาเซเนียน เปอร์เซียตกเป็นของอาหรับ หลังจากอาหรับก็เป็นเติร์ก หรือราชวงศ์เซลจุกที่ย้ายเมืองหลวงมาอิสฟาฮานนี่แหละครับ หลังจากนั้นก็เป็นมองโกล และตีกันไปกันมาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกลับไปเป็นเปอร์เซียอีกครั้งในยุคซาฟาวิด ในยุคซาฟาวิดนี้ กษัตริย์ที่สร้างความยิ่งใหญ่ให้เปอร์เซียคือกษัตริย์ชาห์อับบาสที่ 1 แห่งเปอร์เซีย หรือพระเจ้าอับบาสมหาราช (Abbas I the Great) ซึ่งในยุคนี้เองที่มีการย้ายเมืองหลวงมาอิสฟาฮานเป็นครั้งที่สอง และมีการสร้างอาคารสำคัญ ๆ หลายอย่างในเมืองนี้ โดยเฉพาะจัตุรัสนัคชิญะฮาน (Naqshe Jahan Square) และอาคารรอบ ๆ ทั้งหลาย
อาสนวิหารวองค์ (Vank Cathedra)
ผมและไกด์ (คุณไมค์คนเดิม) เริ่มต้นวันที่อาสนวิหารวองค์ ซึ่งเป็นโบสถ์คริสต์ไม่กี่แห่งในอิหร่าน เป็นอาสนวิหารที่ตั้งอยู่ในย่านที่เรียกว่า New Julfa ซึ่งเป็นย่านที่กษัตริย์ชาห์อับบาสจัดสรรไว้ให้ชาวอาร์เมเนียอาศัยอยู่ เนื่องจากสมัยนั้นชาวอาร์เมเนียถูกรุกรานโดยออตโตมันเลยลี้ภัยกันมา ชาวอาร์เมเนียมีความเชี่ยวชาญทางการค้าและมีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก กษัตริย์ชาห์เลยรับดูแลและจัดสรรพื้นที่ให้ รวมถึงให้อิสระในการนับถือศาสนา








จัตุรัสนัคชิญะฮาน (Naqshe Jahan Square or Imam square)
จัตุรัสนี้เป็นจัตุรัสกลางเมืองที่ใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก สร้างโดยพระเจ้าชาห์อับบาสมหาราช ซึ่งต้องการย้ายเมืองหลวงมาที่อิสฟาฮาน วิกิพีเดียบอกสาเหตุที่ย้ายมี 2 อย่าง คือ 1. ย้ายหนีการรุกรานจากออตโตมันและอุซเบค 2. ย้ายมาใกล้อ่าวเปอร์เซียมากขึ้นเพราะการค้าทางทะเลเริ่มคึกคัก เมื่อย้ายเมืองหลวงพระองค์จึงได้สร้างจัตุรัสนี้ขึ้นเพื่อรวบอำนาจเข้ามาอยู่ศูนย์กลางจุดเดียว ทั้งทางด้านศาสนาและการปกครอง

อาคารสำคัญในจัตุรัสนี้มี 4 อย่าง
- พระราชวังอาลีคาปู (Aali Qapu Palace)
- มัสยิดชาห์ (Shah Mosque) ซึ่งเป็นมัสยิดสำหรับประชาชน
- มัสยิดชีคห์ ลอตฟุลเลาะห์ (Sheikh Lotfollah Mosque) ซึ่งเป็นมัสยิดสำหรับผู้หญิงในราชสำนัก
- Qeysarie Gate ซึ่งเป็นประตูเพื่อไปสู่ตลาดใหญ่ (grand bazaar) แต่ในทริปนี้ผมไม่ได้ไปดู
โดยจะมีอาคาร 2 ชั้นอยู่รอบ ๆ จัตุรัสและเชื่อมทั้ง 4 อาคารเข้าด้วยกัน ผมไม่แน่ใจว่าสมัยก่อนอาคารเหล่านี้ใช้ทำอะไร แต่ปัจจุบันเป็นร้านขายของต่าง ๆ
มัสยิดชาห์ (Shah Mosque)
เป็นมัสยิดสำหรับประชาชน มีโดมที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ใช้เวลาก่อสร้าง 18 ปี สร้างเสร็จหลังพระเจ้าชาห์อับบาสสวรรคตได้ไม่กี่เดือน จุดเด่นบางประการของมัสยิดนี้เช่น 1. พอเราเดินเข้าไปจะมีการหักออกขวาเล็กน้อย เพื่อให้แนวของอาคารไปตรงกับทิศทางที่หันไปยังเมืองเมกกะ ตอนที่ทำพิธีสวดหรือละหมาด 2. โดม (ตอนนี้ซ่อมอยู่) มี 2 ชั้น ชั้นนอกเพื่อให้ยิ่งใหญ่ แต่ต้องมีชั้นในเพื่อให้เกิดฟังก์ชันในการสะท้อนเสียง ทำให้เสียงดังขึ้นได้เกิดเป็นเหมือนลำโพงโดยตัวอาคาร




พระราชวังอาลีคาปู (Aali Qapu Palace)
เป็นวังของพระเจ้าชาห์อับบาส มีทั้งหมด 6 ชั้น แต่ส่วนที่เราขึ้นไปดูได้ก็มีไม่เยอะเท่าไหร่ มีตรงระเบียงชั้นบนที่ข้างในจะเป็นห้องฟังดนตรี





มัสยิดชีคห์ ลอตฟุลเลาะห์ (Sheikh Lotfollah Mosque)
เป็นมัสยิดส่วนตัวของผู้หญิงในราชสำนัก (ฮาเรมของกษัตริย์) เห็นบอกมีทางเดินใต้ดินให้เดินมาจากพระราชวังโดยไม่ต้องให้ใครเห็นด้วย โดยรวมในแง่ความสวยงามอลังการอาจน้อยกว่ามัสยิดชาห์อยู่ครับ



Bazaar
ตลาดที่อยู่รอบ ๆ จัตุรัส อันนี้โดยรวมก็เหมือน bazaar อื่น ๆ ผมเลยไม่ได้ถ่ายมามากนัก






พระราชวังเซเฮลโชตุน (Chehel Sotoun Palace)
หรือที่รู้จักกันในนามพระราชวัง 40 เสา ซึ่งจริง ๆ มี 20 เสา แต่รวมที่สะท้อนในน้ำด้วยเลยเป็น 40 เสา สร้างโดยพระเจ้าชาห์อับบาสที่ 2 (คนละพระองค์กับอับบาสที่ 1 ซึ่งเป็นคนสร้างเมือง) โดยสร้างไว้เป็นวังสำหรับพักผ่อนหย่อนใจและรับรองแขก



หลังจากนั้น ผมก็เดินทางต่อไปยังทะเลทรายวาร์ซาเนห์ Varzaneh Desert ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 1 ชม.
ทะเลทรายวาร์ซาเนห์ (Varzaneh Desert)
จริง ๆ เมืองนี้มีอะไรให้เที่ยวหลายอย่างอยู่นะครับ แต่ผมไปถึงค่อนข้างจะเกือบเย็นแล้ว เลยไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่ ไปดูทะเลทรายแล้วก็กลับเลย คือตอนไปถึงทะเลทรายก็แทบไม่มีคนอยู่แล้ว จริง ๆ ถ้ามาแบบมีกิจกรรมอื่น ๆ ทำอาจจะเวิร์คกว่านี้






หลังจากนั้นก็เดินทางกลับอิสฟาฮาน เสียดายเหมือนกันครับ รู้สึกยังไม่ค่อยคุ้มที่มาทะเลทรายเท่าไหร่ น่าจะมีกิจกรรมมากกว่านี้ แต่มาคนเดียวก็ยากอยู่ อาจเหมาะจะมากับทัวร์
8 ส.ค. 66 หมู่บ้านอะบียาเนห์ คาชาน กลับไทย
และก็มาถึงวันสุดท้ายของทริปอิหร่านครับ วันนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ออกเดินทางจากอิสฟาฮาน จากนั้นแวะสองที่ และก็ไปขึ้นเครื่องบินกลับไทยที่เตหะรานครับ
หมู่บ้านอะบียาเนห์ (Abyaneh village)
เป็นหมู่บ้านที่สามารถแวะไปได้ระหว่างทางจากอิสฟาฮานไปเตหะราน เป็นหมู่บ้านสีน้ำตาลแดง (จริง ๆ ให้บรรยากาศคล้าย ๆ มาซูเลห์ที่ไปใน PART 1 เหมือนกันนะครับ) อะบียาเนห์เป็นหมู่บ้านเก่าแก่อายุหลักพันปี เนื่องจากความไกลจากสังคมทำให้วัฒนธรรมท้องถิ่นหลาย ๆ อย่างยังคงอยู่ เช่น ภาษา หรือการแต่งกาย (ผ้าโพกศีรษะขาวลายดอกไม้ของผู้หญิง) ปัจจุบันไม่ได้มีคนอยู่ที่หมู่บ้านเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยว
สีแดงของหมู่บ้านเกิดจากดินแถวนี้เป็นสีแดงเพราะมีธาตุเหล็กสูง พอนำมาทำเป็นบ้านก็เลยทำให้บ้านเป็นสีแดงไปด้วย




หลังจากนั้นเราก็ออกจากหมู่บ้านแล้วเดินทางต่อไปยังเมืองคาชาน (Kashan) ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่ มีหลักฐานว่ามนุษย์อาศัยอยู่ในบริเวณนี้มาตั้งแต่ยุคหินเก่า (Paleolithic period) แต่มาเจริญรุ่งเรืองในยุคซาฟาวิดเช่นกันในฐานะสถานีการค้า ทำให้มีบ้านเศรษฐีสมัยเก่าหลาย ๆ หลังอยู่ในเมืองนี้
โรงอาบน้ำสุลต่านอาเมียร์ อาห์เหม็ด (Sultan Amir Ahmad Bathhouse)
เป็นโรงอาบน้ำสมัยศตวรรษที่ 16 โรงอาบน้ำนี่เป็นสิ่งก่อนสร้างสำคัญของเมืองในอิหร่านสมัยก่อน ไปเมืองไหนก็จะเจอโรงอาบน้ำอยู่ใกล้ ๆ ตลาด วัง และสิ่งก่อสร้างสำคัญ ๆ ครับ โรงอาบน้ำนี้ก็มีการตกแต่งที่สวยงาม ภายในแบ่งเป็นห้องย่อย ๆ หลาย ๆ ห้อง




คฤหาสถ์โบรูเจอร์ดี (Borujerdi House)
เป็นคฤหาสถ์ของพ่อค้าในศตรวรรษที่ 18 โดยคุณโบรูเจอร์ดี สร้างให้ภรรยาของเขา ภายในก็จะมีหลาย ๆ ห้อง หลาย ๆ โซน สำหรับกิจกรรมต่าง ๆ (แต่ผมว่าสภาพโดยรวมค่อนข้างเก่าและไม่ค่อยได้รับการบูรณะเท่าไหร่เหมือนกันครับ)





ยัคชาล (Yakhchāl)
อาจเรียกได้ว่า ตู้เย็นแห่งแรกของโลก พบอาคารแบบนี้ในหลาย ๆ แห่งในพื้นที่ตะวันออกกลางเช่นกัน หน้าที่หลักคือเอาไว้เก็บน้ำแข็งให้ใช้ได้ตลอดปี หลักการทำงานคืออาคารจะก่อสร้างโดยวัสดุฉนวนกันความร้อน ภายในจะเป็นหลุมลึกที่เก็บน้ำแข็งไว้ อากาศร้อนจะลอยขึ้นด้านบนและออกไปทางปล่องที่เตรียมไว้ จากนั้นในตอนกลางคืนที่อากาศหนาวเย็นก็จะมีน้ำแข็งเกิดขึ้นในบริเวณที่เตรียมไว้ ก็ไปเอาน้ำแข็งเหล่านี้มาเติมในอาคาร

เมืองใต้ดินนุชอาบัด (The Underground City of Nushabad)
เป็นเมืองใต้ดินโบราณตั้งแต่ยุคซาเซเนียน สร้างขึ้นมาเพื่อหลับหนีการรุกรานจากดินแดนอื่น ข้างในมีความลึกหลายระดับระหว่าง 4-18 เมตร กินขอบเขตพื้นที่ค่อนข้างกว้างและเข้าได้จากหลายเส้นทาง



หลังจากนั้นผมก็เดินทางเข้าเตหะรานแล้วขึ้นเครื่องบินกลับไทยครับ ก็เป็นอันจบทริปอิหร่าน
ก็จบลงแล้วครับสำหรับ PART ที่สุดท้าย ขอบคุณที่ติดตามกันมานะครับ สำหรับ PART อื่น ๆ สามารถดูได้ที่ PART 1 และ PART 2
สำหรับผู้ที่สนใจทัวร์ ลองดูรายละเอียดในเว็บต่อไปนี้นะครับ
- Wild Chronicles ทัวร์ไทยที่ผมใช้
- Travelopersia เป็น local tour ที่ฝั่งอิหร่าน (คุณฮาคาน) อันนี้ถ้าอยากคุยกับเขา อยากจัด private tour เล็ก ๆ ของตัวเอง หลังไมค์มาได้ครับ