ไปประชุม แวะเที่ยวเจนีวาและเซอร์แมท

ช่วงวันที่ 12-14 เม.ย.ที่ผ่านมาได้รับเกียรติจากทางองค์การอนามัยโลก (World Health Organization – WHO) และ AeHIN ให้ไปร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องมาตรฐาน FHIR ที่เมืองเจนีวาประเทศสวิตเซอร์แลนด์ครับ ต้องขอขอบคุณทั้งสองหน่วยงานมา ณ​ โอกาสนี้นะครับ และอยากขอขอบคุณสถานทูตสวิตเซอร์แลนด์ด้วยเช่นกันครับที่ออกวีซ่าให้อย่างรวดเร็ว จริง ๆ ถ้ามีพาสปอร์ตราชการสามารถเข้าสวิตเซอร์แลนด์โดยไม่ขอวีซ่าได้ แต่รอบนี้ผมไปด้วยวีซ่าท่องเที่ยวไปเลยครับ พอดีตั๋วที่เขาออกให้เป็นตั๋วแบบเลื่อนวันได้ หลังประชุมก็เลยอยู่ต่ออีก 3 วันครับ

จริง ๆ เป็นการประชุมที่น่าสนใจและเปิดโลกให้ผมพอสมควร แต่เนื่องจาก blog นี้เป็นเนื้อหาท่องเที่ยว เลยไม่ขอกล่าวถึงเนื้อหาการประชุมนะครับ หลังเสร็จการประชุมผมใช้เวลา 1 วันในเจนีวา จากนั้นเดินทางไปที่เซอร์แมทเพื่อไปดูภูเขา Matterhorn จากนั้นก็กลับมาที่เจนีวาอีกครับ

ความรู้สึกโดยรวม

  • ผมว่าในแง่ความสวยงามของธรรมชาติในบริเวณที่ผมไปนี่โดยรวมก็รู้สึกว่าจัดเต็มมากนะครับ สวยงาม ร่มรื่น ภูเขาก็ยิ่งใหญ่ ขนาดไปในช่วงที่ใบไม้ยังไม่ค่อยงอกก็เลยเป็นแห้ง ๆ ก็ยังรู้สึกว่า wow อยู่ครับ ถ้าไปฤดูอื่นนี่น่าจะ wow มากพอสมควร
  • แต่ในแง่ค่าครองชีพก็จัดว่ามหาโหดมาก ตั้งแต่ผมไปมาที่นี่น่าจะแพงที่สุดแล้ว ขนาดนอร์เวย์ยังไม่แพงขนาดนี้ อาหารที่ร้านน่าจะเริ่มต้น 800 บาท แต่ปกติคือ 1,200 บาทขึ้นไป ถ้าอยากประหยัดค่าอาหารอาจต้องเน้นเข้า supermarket ช่วงใกล้ปิดแล้วทำกินเอง
  • ถึงแม้จะแพง แต่ในแง่รสชาติก็ไม่ได้ถูกปากอะไรผมมากนะ ก็เรียกว่ากินได้ แต่ก็ไม่ถึงกับคิดว่าอร่อยมากอะไร
  • ถ้าซื้อ Swiss pass อาจจะประหยัดได้หลาย ๆ อย่าง แต่พอดีผมไม่มีเวลาหาข้อมูลเท่าไหร่ ทริปนี้ค่อนข้างด้นสด ก็เลยไม่ได้ซื้อเหมือนกันครับ
  • เมืองเจนีวานี่ผมก็ไปหลายที่อยู่ แต่โดยรวมก็ไม่ได้ wow อะไร เป็นแนวเมืองเอาไว้ให้องค์การระหว่างประเทศตั้งสำนักงานอยู่ พอมีที่ให้ไปนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ผมก็ชอบนะ เดินเล่นไปตามส่วนต่าง ๆ ของเมืองสบาย ๆ
  • เซอร์แมทนี่ก็ชอบเช่นกัน ถ้าเงินเยอะ ๆ มาอยู่เฉย ๆ อ่านหนังสือจิบกาแฟเล่นริมเขาซักสัปดาห์ก็ดูจะชิลดี ว่าง ๆ ออกไปเดิน trekking เล่นอะไรแบบนั้น แต่คนส่วนใหญ่ก็มาเล่นสกีกัน ถ้าจะมาแล้วคุ้มก็อาจควรเล่นสกีซักหน่อย

11 เม.ย. 66: เดินทางไปถึงที่ประชุม

เป็นครั้งแรกเหมือนกันครับที่ได้นั่งสายการบิน Etihad โดยรวมก็โอเคนะครับ พอดีไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องบินเท่าไหร่ก็เลยไม่แน่ใจว่าที่นั่งไปเป็นรุ่นไหน แต่ขาไปได้เครื่องค่อนข้างใหม่ นั่งสบายดีครับ อาหารและความบันเทิงก็โอเค มีติดเล็กน้อยตรงต้องไปต่อเครื่องที่อาบูดาบีซึ่งคนเยอะพอสมควรและไม่ค่อยมีอาหารขาย รอต่อเครื่องอีก 3 ชม. สรุปแล้วใช้เวลาเดินทางกว่า 16 ชม. ไปถึงเจนีวาเช้า ๆ ผ่านตม.เสร็จก็หาทางเข้าเมือง

ตอนออกมาจากตม.แล้วผมถึงได้ทราบว่าจริง ๆ ตรงจุดรับกระเป๋านี่เราสามารถไปกดเอาตั๋วเข้าเมืองฟรีได้ ตอนนั้นผมไม่ทราบก็ไปซื้อตั๋วเข้าเมือง ก็แพงเอาการอยู่ครับ (แต่ยังไงผมไม่ได้เดินทางไปเจนีวาเพราะสถานที่ประชุมจัดอยู่อีกเมือง คิดว่าคงได้ซื้อเพิ่มอยู่ดี)

ภาพนี้ก็เป็นบรรยากาศภายในรถไฟเข้าเมือง มีผมนั่งอยู่คนเดียวทั้งโบกี้ จนถึงเจนีวาคนค่อยขึ้นมาเพิ่ม

ลงที่สถานี Nyon เพื่อเดินทางต่อไปยังที่พัก หลังจากลงรถไฟแล้วต้องต่อรถบัส ก็ไปซื้อตั๋วรถบัสอยู่ในสถานีรถไฟ จริง ๆ เราสามารถซื้อตั๋วรถบัสที่บนรถได้เลยครับ ที่เมืองนี้ถึงมี day pass ของเจนีวาก็ไม่สามารถใช้ได้นะครับ เพราะเป็นคนละเมืองกัน

ในภาพนี้ก็เป็นบรรยากาศภายในเมือง ไปถึงสาย ๆ แต่อากาศค่อนข้างครึ้ม ช่วงนั้นฝนตกพอดี

ตู้นี้น่าสนใจดีครับ เหมือนเป็นตู้โทรศัพท์แต่ก็มีหนังสือข้างใน

แล้วก็เดินทางมาถึงสถานที่จัดที่ประชุมที่ Chateau de Bossey ทางผู้จัดบอกว่าจัดงานชนกับงาน Watches and Wonders ทำให้หาที่พักในเจนีวาไม่ได้เลย เลยต้องย้ายออกมาข้างนอกครับ

โดยรวมผมว่าบรรยากาศดีเลยนะครับ เหมือนมาพักตากอากาศ แต่ห้องไม่ได้ดีมาก อาหารก็เช่นกัน เหมือนเป็นอพาร์ทเมนต์ของมหาวิทยาลัยที่ให้นักศึกษาเข้าอยู่ระยะยาว แต่ก็รับแขกภายนอกด้วย

15 เม.ย. 66: เดินทางเข้าเจนีวา

ประชุมตั้งแต่ 12-14 เม.ย. ครับ วันที่ 15 ก็เช็คเอาท์แล้วเดินทางเข้าเจนีวา วางแผนไว้ว่าวันนี้จะเดินเล่นรอบ ๆ เมือง 1 วัน ก่อนที่ตอนเย็นจะเดินทางไปที่เซอร์แมทต่อ

บ่าย ๆ ก็มาถึงสถานีเจนีวา วันนี้ยังฝนตกเช่นเดิม

บรรยากาศในเมือง รอบ ๆ สถานี ผมกลัวว่าที่เซอร์แมทจะหนาวเลยหาซื้อถุงมือแถว ๆ นั้น หาซื้อยากมากเพราะแทบไม่มีร้านขายแล้ว จนไปถึงเซอร์แมทถึงพบว่าน่าจะไปซื้อที่เซอร์แมทง่ายกว่า 😅

ระหว่างทางไปดูน้ำพุที่ทะเลสาบเจนีวาครับ

พบชอบดูเป็ดและสัตว์ปีกอื่น ๆ ตามแม่น้ำที่ยุโรปมาก ไปเมืองไหนต้องไปยืนดูเป็ดอยู่หลายนาทีเหมือนกัน

แล้วก็มาถึงน้ำพุ Jet d’Eau ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมือง เป็นน้ำพุสูงกว่า 140 เมตร เปิดทำงานมาร้อยกว่าปีแล้ว รุ่นปัจจุบันใช้มาตั้งแต่ปี 1951

ใกล้ ๆ กันจะมีสวนสาธารณะ

ชอบสวนในยุโรปครับ ร่มรื่นดี

แลนด์มาร์คอีกอย่างก็คือ flower clock เห็นบอกเป็นนาฬิกาดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ประติมากรรมแถวนั้น ไม่รู้คืออะไรแต่สวยดีครับ

เดินเล่นไปยังจุดที่มีน้ำพุอยู่ ถนนนี้สวยดีครับ ต้นไม้แปลกดี

เดินมาดูจุดยิงน้ำพุ จริง ๆ ก็ไม่มีอะไร

เดินเล่นต่อในเมือง อันนี้ก็เป็นรถแทรม ถ้าจะขึ้นจะมีเครื่องขายตั๋วอยู่ใกล้ ๆ ผมเข้าใจว่าถ้ามี day pass ก็ขึ้นได้เลยนะครับ

ผมเห็นมีร้านนี้นี่แหละที่มีคนต่อคิวรอมาถึงหน้าร้าน

น้อนแมวที่เจ้าของพามานั่งเล่น มี AirTag ติดที่ปลอกคอ

สวนที่อยู่ทางขึ้นไป St Pierre Cathedral อาคารแถวนี้สวยดีครับ

บรรยากาศหน้า St Pierre Cathedral

แล้วก็มาถึง St Pierre Cathedral

ในแง่ความงามผมว่าไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเท่าไหร่

สามารถเสียเงินเพื่อขึ้นมาด้านบนของหอคอยของอาสนวิหารได้

บรรยากาศเมืองเจนีวา บริเวณน้ำพุ

บรรยากาศเมืองเจนีวา

บรรยากาศภายในอาสนวิหาร

เดินเล่นในเมืองต่อ อันนี้เหมือนจะเป็นผู้สมัครมาหาเสียง (มั้ง)

เดินทางไปที่สถานีกลางเพื่อจะเดินทางไปเซอร์แมทต่อ ระหว่างทางพบ Basilica Notre-Dame ไม่ได้เข้าไปเหมือนกันครับ

บรรยากาศภายในสถานีเจนีวา

อันนี้เป็นรถไฟข้ามเมือง จะมีสองชั้น ตั๋วก็มีสอง class เช่นกัน ถึงแม้เราซื้อ second class แต่ก็จะมีบางโบกี้ที่เราไปนั่งด้านบนได้

บรรยากาศบริเวณสถานี

ใช้เวลาเดินทาง 4 ชม. ผมว่าระหว่างทางสวยมาก ๆ เลยครับ คิดว่าถ้าเป็นฤดูร้อนที่ต้นไม้ออกใบหมดแล้วน่าจะสวยกว่านี้ จริง ๆ เที่ยวในประเทศที่มี 4 ฤดูนี่ ผมว่าสวยทุกฤดู ยกเว้นใบไม้ผลิ 555 คือฤดูร้อนสีเขียวสดใส ฤดูใบไม้ผลิสีเหลืองส้ม ฤดูหนาวสีขาว มีฤดูใบไม้ผลินี่แหละจะเป็นต้นไม้แบบมีแต่กิ่ง หิมะก็ไม่มี 😅 มียกเว้นคือญี่ปุ่นที่จะมีซากุระมาแทน

การเดินทางจากเจนีวามาเซอร์แมทเหมือนจะไปได้หลายทาง ผมเลือกไปทางที่เปลี่ยนขบวนที่ Brig

มีเทศกาลซักอย่างที่เจนีวาพอดี แต่ไม่ได้เข้าเพราะต้องรีบเข้าโรงแรม พอดีจองแบบ half board ไว้ มีอาหารเย็นด้วยแต่ต้องไปให้ถึงก่อนสามทุ่ม 😅 ผมพักที่โรงแรมชื่อ Jägerhof Hotel & Apartements โดยรวมชอบเลยนะครับ ห้องโอเค อาหารอร่อย

การเดินทางในเซอร์แมทนี่ ส่วนใหญ่โรงแรมจะสามารถมารับเราที่สถานีได้นะครับถ้าแจ้งล่วงหน้า แต่ผมก็เดินไปธรรมดานี่แหละครับ อยากเห็นบรรยากาศเมือง

16 เม.ย. 66: เซอร์แมท

วันนี้ตั้งใจว่าจะขึ้นไปดูยอดเขา Matterhorn ที่อยู่บนช็อกโกเลต Toblerone ดูจากพยากรณ์อากาศคิดว่าไม่น่าเห็น แต่ก็ลองขึ้นไปดู เผื่อฟลุ๊ก การจะขึ้นไปดูนั้นต้องนั่งกระเช้าไปหลายต่อเหมือนกัน

อันนี้ก็เป็นบรรยากาศที่เซอร์แมทยามเช้า

บรรยากาศทางไปขึ้นกระเช้า

แผนวันนี้คือขึ้นไปที่ Klein Matterhorn แล้วก็ไปต่อที่เขา Gornergrat จริง ๆ เหมือนถ้าอยากให้ถูกที่สุดต้องซื้อเป็นแบบ peak-2-peak ticket แต่ผมก็ไม่ได้ซื้อเหมือนกันครับ ซื้อเป็นเที่ยว ๆ งง ๆ ผิด ๆ ถูก ๆ หมดไป 8,000 บาทได้วันเดียว (แต่ peak-2-peak ก็ไม่ได้ถูกกว่านี้เท่าไหร่นะ) ถ้ามี Swiss pass จะลดครึ่งราคา ไม่แน่ใจว่าราคาเท่าไหร่เหมือนกันนะครับ แต่ผมไม่ได้ซื้อเพราะงง ๆ กับวิธีซื้อ เหมือนต้องซื้อแล้วก็ไปรับบัตรซักอย่าง เลยไม่ซื้อก็แล้วกัน ยังไงก็อยู่ไม่กี่วัน

ระหว่างทางผมว่าสวยมาก ๆ ครับ คือในแง่ความเป็นภูเขาที่ใหญ่นี่อาจไม่ได้ต่างอะไรจากหิมาลัยสมัยไปเดินที่เนปาลเท่าไหร่ แต่บรรยากาศดีเพราะนั่งบนกระเช้ามอง ภาพที่ออกมาก็เลยสวยดี

ถ่ายภาพออกมาอาจไม่สามารถถ่ายทอดความสวยของภูเขาของจริงได้ ต้องไปเห็นด้วยตาครับ ประกอบกับการสัมผัสอากาศเย็นสบายบริสุทธิ์ ก็นับเป็นประสบการณ์ที่ดีอันนึงครับ

มองกลับไปยังเมืองเซอร์แมทจากบนกระเช้า สวยดีครับ

ขึ้นไปข้างบนเขา หิมะเริ่มหนา ในภาพด้านล่างนี้ด้านขวาบนคือยอดเขา Matterhorn แต่ไม่เห็นอะไรเลยครับ 55

ไปถึงสถานี Trockener Steg เพื่อเปลี่ยนกระเช้าไปที่ Klein Matterhorn แต่ว่าเมฆและลมแรงมาก กระเช้าเลยยังไม่เปิดให้บริการ ผมเลยมาเดินเล่นรอบ ๆ ตรงนี้เป็นร้านอาหาร บรรยากาศดีมากครับ

ซักหน่อยกระเช้าก็กลับมาเปิด ก็เลยเดินทางไป Klein Matterhorn ต่อ

และก็มาถึงที่สถานี Matterhorn Glacier Paradise ซึ่งอยู่บนยอดเขา Klein Matterhorn เป็นสถานีบนภูเขาที่สูงที่สุดในโลก ในภาพด้านล่างนี้ก็เป็นบรรยากาศภายในสถานี

มีจุดชมวิว 360 องศา ซึ่งจะสามารถมองเห็นไปยังเขา Matterhorn ได้ และยังเห็นไปยังเขาอื่น ๆ ได้ด้วย แต่พอดีวันนี้เมฆเยอะไปหน่อย เลยไม่เห็นอะไรเลย หลังจากผมขึ้นไปได้แป๊ปเดียว พอลงมาเขาก็ปิดเลยไม่ให้ขึ้นไปอีก เพราะลมแรงและเมฆเยอะไปหน่อย 😅

นึกถึงตอนผมไป Poon Hill ที่เนปาลมาก แบบนี้เลย วันไฮไลต์ขาวจั๊วะ 😅

ที่สถานีนี้จะมีกิจกรรมหลายอย่าง มีที่ฉายหนัง (แต่หนาวไปหน่อย เลยออกมา) มีร้านอาหาร (แวะเข้าไปดูเฉย ๆ แต่ไม่ได้กินเหมือนกันครับ) และก็มี Glacier palace ซึ่งเป็นการเจาะธารน้ำแข็งเป็นอุโมงแล้วก็มีโชว์แกะสลักน้ำแข็งข้างใน

ทางเดินภายใน Glacier palace

เจอพระพุทธรูป 2 นิกาย

รูปแกะสลักภายใน glacier palace

เนื่องจากอยู่ไปก็ไม่ได้มีวี่แววว่าจะเห็นอะไร แถมยังค่อนข้างหนาวมาก ผมก็เลยลงมาเลย ในภาพนี้ก็เป็นบรรยากาศกระเช้าขาลง

อาคารนี้สวยดีครับ

บรรยากาศจากบนกระเช้า เหมือนคนส่วนใหญ่เขามาที่นี่เพื่อเล่นสกีกัน รู้สึกว่าถ้ารอบหน้าจะมาอีกต้องหัดเล่นสกีมาซักหน่อย

ผมเดินทางมาที่สถานี Furi เพื่อเปลี่ยนกระเช้าไปยังสถานี Riffelberg เพื่อต่อรถไฟสาย Gornergrat Bahn ซึ่งเป็นรถรางไฟฟ้าที่สูงที่สุดในยุโรปเช่นกัน จริง ๆ รถไฟสายนี้ขึ้นมาจากที่ Zermatt เลยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปขึ้นจาก Furi

บรรยากาศรอบ ๆ สถานี

ในภาพคือยอดเขา Matterhorn จุ่มอยู่ในเมฆทั้งวันเลยครับวันนี้ พก Toblerone ไปถ่ายก็ไม่เห็น 😆

รถไฟสาย Gornergrat Bahn

บรรยากาศข้างทางรถไฟก็สวยงามมากเช่นกัน สามารถเปิดหน้าต่างรถไฟได้นะครับ ทิปเล็กน้อยคือถ้าท่านใดอยากไปถ่ายรูป Matterhorn กับทะเลสาบ Riffelsee ต้องไปลงที่สถานี Rotenboden นะครับ แต่ผมไม่ได้ไปเหมือนกัน

มาถึงสถานี Gornergrat ซึ่งเป็นจุดถ่ายรูปเช่นกัน

มีเมฆเป็นส่วนใหญ่เลยไม่เห็นอะไร แต่ก็สวยดีครับ

บรรยากาศหุบเขา ยิ่งใหญ่มาก ๆ

ผมเดินทางกลับมาที่สถานี Furi อันนี้เป็นภาพเมืองเซอร์แมทจากบนกระเช้าอีกภาพหนึ่ง

พอถึง Furi ผมเลือกเดินทางกลับเซอร์แมทด้วยการเดิน เพราะอยากเก็บบรรยากาศรอบ ๆ และอยากเดินเล่นด้วย

และก็เดินทางมาถึงเมืองเซอร์แมท เป็นการเดินเล่นที่สดชื่นดีครับ สมัยอยู่สวีเดนผมก็ชอบเดินเล่นตามเขาแบบนี้เช่นกัน มาอยู่ไทยนี่เดินข้ามสะพานลอยหน้าคอนโดก็ขี้เกียจแล้ว 😅

แวะรับประทานอาหารกลางวันที่ร้าน Old Zermatt

ไม่แน่ใจว่าเรียกว่าอะไรนะครับ แต่ดูร้านอาหารสวิสจะมีอาหารชนิดนี้เยอะเลย

หลังรับประทานอาหารผมก็เดินเล่นอีกเล็กน้อยแล้วก็กลับโรงแรมพักผ่อน ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษครับ

17 เม.ย. 66: เดินทางกลับเจนีวา

ตื่นมาเห็นอากาศค่อนข้างปลอดโปร่ง ก็เลยไปเดินเล่นในเมืองอีกนิด เจอเมฆอยู่กลางเมืองเลย

ไปจุดชมวิวที่สะพาน Kirchbrücke รออยู่ไม่นานฟ้าก็เปิดให้เห็น Matterhorn

เสียดายวันที่ขึ้นไปบนเขาไม่เห็น แต่ไว้มีโอกาสมาใหม่ครับ

เก็บบรรยากาศเมืองอีกนิด จริง ๆ มีจุดชมวิว Zermatt Matterhorn Aussichtspunkt อีกที่หนึ่งครับ แต่ไม่ได้ไปเหมือนกันครับ

กลับโรงแรมและเช็คเอาท์ ทางโรงแรมก็ไปส่งที่สถานีรถไฟ

ใช้เวลาเดินทาง 4 ชม. ก็มาถึงเจนีวา ผมฝากกระเป๋าไว้ที่สถานี จากนั้นเสิร์ชหาร้านอาหารเจอร้าน Auberge de Savièse เป็นร้านอาหารสวิสใกล้ ๆ สถานีรถไฟ ก็เลยลองไปดูครับ

สั่งเป็นไส้กรอก น่าจะเป็นหมูถ้าจำไม่ผิด วางบนถั่วอะไรซักอย่างไม่แน่ใจครับ แต่โดยรวมก็อร่อยดีนะครับ ในร้านมีฟองดูวขายด้วย แต่ว่าต้องมาสองคนขึ้นไป ก็เลยอดลองเลยครับ

จากนั้นเดินทางต่อไปยังบริเวณสหประชาชาติ เจอประติมากรรม Broken chair ซึ่งเป็นผลงานที่สร้างขึ้นเพื่อจูงใจให้ประเทศสมาชิกลงนามในอนุสัญญาออตตาวา (Ottawa treaty) ที่ว่าด้วยการห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Mine Ban Convention)

จริง ๆ บริเวณนี้เป็นน้ำพุด้วยนะครับ แต่ไม่เห็นเปิด

ที่ด้านหน้า UN ก็จะเป็น Alley of Flags ซึ่งเป็นธงของประเทศสมาชิก UN

ภาพจิตรกรรมฝาผนังปูนเปียก (Fresco) ที่หน้า UN สื่อถึงสันติภาพ

ตอนแรกนึกว่าจะเดินเข้าไปดูใน UN ได้ แต่เหมือนต้องจองไว้ก่อน ก็เลยไม่ได้เข้าครับ เลยเดินเล่นรอบ ๆ เจออนุสาวรีย์ของ มหาตมะ คานธี

เดินไปเรื่อยจนถึงสำนักงานคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ แถวนี้มีพิพิธภัณฑ์ด้วยนะครับ แต่ก็ไม่ได้เข้าไปเหมือนกัน

ดอกทีวลิปหน้าอาคารกาชาด

จริง ๆ โซน UN นี้เป็นที่ตั้งขององค์การระหว่างประเทศจำนวนมาก WHO, UNICEF, UNAID ฯลฯ ผมเดิน ๆ เล่นเล็กน้อยแล้วก็เลยเดินทางต่อไปแถวมหาวิทยาลัยเจนีวา

หอสมุดกลางของมหาวิทยาลัย

ใกล้ ๆ กันจะเป็น Reformation Wall เหมือนเนื้อหาจะเป็นเรื่องราวและบุคคลสำคัญที่เกี่ยวของกับการปฏิรูปศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์

ขึ้นไปจาก reformation wall จะเป็น Promenade de la Treille ซึ่งเป็นสวนสาธารณะและจุดชมวิวเมือง

บรรยากาศบริเวณสวนดังกล่าว

จากนั้นก็เดินทางกลับมาที่สถานีเจนีวา เพื่อเข้าโรงแรม ระหว่างทางเจออาคารนี้สวยดีครับ

ผมพักที่โรงแรม Nash airport hotel ใกล้ ๆ กับสนามบินเลย เนื่องจากบินแต่เช้าในวันถัดที่ 18 เม.ย. ก็เลยเดินทางไปที่สนามบิน จากนั้นต่อรถ shuttle ของโรงแรม จนถึงทุกวันนี้ยังไม่แน่ใจว่า day pass นี่ใช้เดินทางมาสนามบินได้หรือเปล่า เห็นเป็นรถไฟคนละประเภท แต่ผมมีความรู้สึกว่าน่าจะได้ ใครทราบช่วยแจ้งหน่อยนะครับ 😅

ในภาพก็เป็นบรรยากาศที่สนามบินเจนีวา ผมว่าเป็นสนามบินที่ค่อนข้างชิลมากในด้านมาตรการตรวจกระเป๋าตอนผ่านด่าน (หรือเพราะสุวรรณภูมินี่เข้มงวดผิดปกติไม่ทราบนะครับ)

วันรุ่งขึ้นก็ใช้รถ shuttle ของสนามบินมาส่งแล้วก็ขึ้นเครื่องกลับไทยครับ ใช้เวลาอยู่บนเครื่องเท่า ๆ เดิม แต่ว่าเพราะเดินทางจากตะวันตกมาตะวันออก ออกเดินทางจากนั้น 11 โมง เลยมาถึงไทยวันที่ 19 เม.ย. เลยครับ

ก็จบลงแล้วนะครับสำหรับทริปนี้ ต้องขอขอบพระคุณ WHO และ AeHIN อีกครั้งที่สนับสนุนให้เข้าร่วมประชุม และอนุญาตให้เลื่อนตั๋วกลับไทยได้ ทำให้สามารถอยู่ต่อเที่ยวในทริปนี้ได้ครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *