เที่ยวอิตาลี 11 วัน – ตอนที่ 3: ชิงเคว เทเร, เวนิส, ทะเลสาบโคโม, มิลาน

หลังจากตอนที่แล้วที่ผมเที่ยวในปิซ่า วันต่อมา 22 ก.ย. เราก็เดินทางต่อไปยัง La Spezia ครับ เราจะพักที่นี่ในคืนนี้ ดังนั้นจึงแวะเช็คอินที่โรงแรม เก็บของกินข้าวให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินทางไปยังชิงเคว เทเร (Cinque Terre -CT) วันต่อมาเกือบทั้งวันจะหมดกับการเดินทางไปยังเวนิส เราค้างที่เวนิส 2 คืนจึงเดินทางต่อไปยังมิลาน เที่ยวทะเลสาบโคโม 1 วัน และตัวเมืองมิลานอีก 1 วัน ก็เป็นอันจบทริปอิตาลีนี้ครับ

ความคิดเห็นต่อทริปโดยรวม

  • ผมว่าผมพลาดพอควรที่ไปจาก CT-เวนิส-มิลาน จริง ๆ ควรจะเป็น CT-มิลาน แล้วจบที่เวนิสมากกว่า อันนี้เลยเสียเวลาไปเยอะเหมือนกันกับการเดินทางไปกลับเวนิส ตอนนั้นคือกลัวว่าจะไม่มีเที่ยวบินดี ๆ จากเวนิสไงฮะ เพราะรู้สึกว่ามิลานใหญ่กว่า
  • ผมรู้สึกว่าผมใช้เวลาที่ CT น้อยไป รู้สึกว่าหลาย ๆ เมืองในนั้นก็สวยดีครับ อยากมาเดินเล่นชิล ๆ ซักวัน ส่วน La Spezia เองก็เป็นเมืองเล็ก ๆ ค่าครองชีพไม่แพง อยากมาชิลเล่นนานกว่านี้สักหน่อยเช่นกัน
  • เวนิสก็เป็นเมืองที่ผมชอบมากเช่นกัน คือมันสวยน่ะครับ เดินเล่นชิล ๆ ริมคลองชมเมืองไปด้วยก็ฟินแล้ว อยากอยู่นานกว่านี้เช่นกัน ทริปนี้พวกผมไปเกาะบูราโนด้วยครับ แม้จะไกลแต่ผมว่าคุ้มค่านะ ตึกสีสันจัดจ้านสวยดี นั่งเรือชมวิวเล่นก็ชิลดี
  • ทะเลสาบโคโมนี่เด็ดมาก ๆ ครับ น่าจะเป็นที่ที่ผมชอบอันดับต้น ๆ ของทริปอิตาลีนี้ทั้งทริปเลย เสียดายไปเกาะที่ใช้ถ่ายเจมส์บอนด์ไม่ทัน
  • มิลานนี่ผมก็ชอบเช่นกัน จริง ๆ เป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีอะไรให้เที่ยวนะ แต่ตึกรามบ้านช่องดูทันสมัย ผมว่าเมืองแบบนี้แหละที่คนอยู่จริง เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจจริง ๆ ก็อยากอยู่ให้นานกว่านี้เช่นกัน

ทิปเล็กทิปน้อย

  • ที่ CT พวกผมไม่ได้พักในตัวเมือง CT แต่พักที่ La Spezia แทน ข้อดีคือราคาถูกกว่า ระยะเวลาในการเดินทางจาก La Spezia ไปยัง CT ก็แค่ราวครึ่งชม. รถไฟยังมีถึงดึก ๆ เลย ท่านใดอยากดื่มด่ำ CT ยามค่ำมืดก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าพักในตัว CT  เลยก็คงเป็นบรรยากาศที่ดีไปอีกแบบครับ แล้วแต่คนชอบ
  • ที่ CT พวกผมซื้อเป็น Cinque Terre Card เลย ขึ้นรถไฟกี่เที่ยวก็ได้ใน 1 วัน ข้อเสียคือเขานับเป็นวันตามปฏิทิน ก็คือเที่ยงคืนก็หมดเลย ไม่ใช่นับเป็นชั่วโมง แต่ผมว่าถ้าไปซัก 2-3 เมืองยังไงก็คุ้มกว่าซื้อเป็นเที่ยวครับ
  • การเดินทางจาก CT ไปเวนิส (หรือมิลานก็ตาม) จริง ๆ ผมว่าไม่ต้องจองตั๋วรถไฟล่วงหน้าก็ได้ ไปซื้อเอาที่สถานีเลย ยังไงเราก็ต้องกลับจาก La Spezia ไปฟลอเรนซ์ก่อนจึงจะไปเวนิสได้ ซึ่งพวกนี้เป็น regional train แค่จากฟลอเรนซ์ไปเวนิสถึงจะเป็นรถไฟความเร็วสูง
  • ที่เวนิส ระบบ Pass ของเขาเป็น Venezia Unica pass ซักอย่าง ซึ่ง customize ได้ว่าเราจะเอาอะไรบ้าง ซึ่งส่วนตัวผมว่างงมาก ๆ ครับ แต่ก็เลือก St. Mark’s Square Museums (ใช้เข้าพระราชวังโดเจ) และโรงโอเปร่า the Teatro La Fenice ซื้อมาราคา 30 ยูโร ไม่ได้ถูกมากแต่ก็ดีในแง่ไม่ต้องต่อคิว
  • เรื่องที่พักในเวนิส เข้าไปดูในพันทิปจะแนะนำให้พักบนเกาะกันมาก เพราะจะได้ตื่นมาชมเวนิสในยามเช้าที่แสนสงบ ผมเลยทำตาม แต่ปรากฏว่าไม่ตื่น เลยรู้สึกว่าน่าจะเลือกพักนอกเกาะ
  • ส่วนการเข้า Saint Mark’s Basilica นั้นฟรีอยู่แล้ว แต่เนื่องจากไม่อยากต่อคิว เลยซื้อเป็น Skip the Line ของ Veneto Inside ครับ
  • Public transport ในเวนิส ผมซื้อแบบ 24 ชม. แค่วันเดียวที่ใช้เอาของไปเก็บโรงแรม, ไปกลับเกาะบูราโน, แล้วก็ไปสะพานริอัลโต ก็คุ้มแล้วแหละครับ ที่เหลือเดินเอา แต่เวนิสเป็นเมืองที่เดินสนุก ก็ไม่รู้สึกว่าไกลครับ
  • ทะเลสาบโคโม ถ้าจะไป Villa del Balbianello ให้รีบไปครับ เพราะปิดเร็วครับ ที่เหลือออกแนวชมเมืองชมทะเลสาบซึ่งทำเมื่อไหร่ก็ได้ เราซื้อเป็น day pass ขึ้นเรือเท่าไหร่ก็ได้ครับ ผมรู้สึกตารางการเดินเรือระหว่างเกาะมีความงงพอสมควร เพราะมันมีเรือหลายประเภท เรือใหญ่เรือเล็ก ถ้างงก็ถามเจ้าหน้าที่แถวนั้นครับ บางทีเราหาไม่เจอว่ามีเส้นทางที่เราต้องการหรือเปล่า ไม่ได้แปลว่ามันไม่มี เช่น จากเบลลาจิโอไปเลนโน มีเรือนะครับ
  • มิลาน จริง ๆ ก็มี pass แต่พวกผมไม่ได้ซื้อครับ เพราะสถานที่ที่อยากไปก็เป็นกลางแจ้งเสียมากกว่า แต่ถ้าท่านใดสนใจก็ลองดูได้ครับที่ Milan City Pass

.

รีวิวที่พัก

ที่ La Spezia พวกผมพักกันที่ My way, La Spezia ในแง่ทำเลก็โอเคครับ ห่างจาก Central station ราว 600 เมตร เจ้าของค่อนข้างไนซ์ ห้องพักก็สวยดีครับ ทุกอย่างดีหมด มีข้อเสียเล็กน้อยตรงอาหารเช้าที่เขาจะให้คูปองเราไปกินร้านขนมปังใกล้ ๆ ซึ่งให้น้อยและไม่อิ่ม

ที่เวนิสพวกผมพักที่ B&B Ca Del Tentor ครับ ค่อนข้างแพงทีเดียวคืนละ 5,000 กว่าบาท ในแง่ทำเลก็โออยู่ครับ 800 เมตร แต่ลากกระเป๋าหนัก ๆ ก็แอบไกล ถ้าขึ้นเรือเอาก็ไม่ไกลเท่าไหร่ ห้องที่ผมได้นั้นห้องพักกับห้องน้ำแยกกัน ทำให้เวลาเราจะเข้าห้องน้ำเราต้องเดินออกมา ก็ไม่ค่อยสะดวก ส่วนอาหารเช้าดีอยู่ครับ

ที่มิลานพวกผมพักที่ B&B Hotel Milano Central Station ครับ ทำเลโอเค 550 เมตรจาก Central station เรื่องคุณภาพห้องก็ประมาณโรงแรมสามดาวทั่ว ๆ ไปครับ อาหารเช้าก็บุฟเฟ่ต์ขนมปังแฮมธรรมดา สรุปโดยรวมก็โอเคครับ

.

22 ก.ย. 61: La Spezia, Cinque Terre

คำว่าชิงเคว เทเร (Cinque Terre) แปลว่า Five Lands หมายถึงเมือง 5 เมืองที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลลิกูเรียนทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เมืองทั้ง 5 เรียงตามลำดับตามทางรถไฟ ประกอบด้วย Riomaggiore, Manarola, Corniglia, Vernazza, และ Monterosso

ทริปนี้พวกผมเดินทางออกจากปิซ่าในตอนสาย ๆ และมาถึง La Spezia กว่าจะเก็บของกินข้าว ซื้อ CT pass ก็ปาเข้าไปบ่ายแก่ ๆ ก็เลยไม่ได้เที่ยวอะไรมากครับ โดยเราเริ่มจากไปดูชายหาดที่ Monterosso (หาดยาวที่สุดแล้วใน CT) จากนั้นไป Riomaggiore และจบที่ Manarola ซึ่งเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่ฮิตที่สุด ทั้งทริปนี้เนื่องจากเวลาจำกัด เราเลยได้แค่เดินเล่นบริเวณริมฝั่ง ไม่ได้เข้าไปในตัวเมืองอะไรครับ

.

Monterosso

บรรยากาศบริเวณริมหาดที่ Monterosso
ถ้ามีเวลาเยอะ น่ามาเล่นซักวันเหมือนกันนะครับ
นอกเหนือจากเขตชายหาด ก็จะเป็นผาหินแบบนี้แหละครับ
เก็บวิวชายฝั่งไปเรื่อย

.

Riomaggiore

ป้ายบริเวณใกล้สถานีรถไฟ
ตัวเมือง Riomaggiore
บริเวณริมฝั่งของ Riomaggiore
อันนี้แหละครับ มุมมหาชนแห่ง Riomaggiore
ริมฝั่งจะเป็นผาหินแบบนี้มากกว่าชายหาด
ริมฝั่ง Riomaggiore
ริมฝั่ง Riomaggiore

.

Manarola

ปิดท้ายวันด้วยการไปชมพระอาทิตย์ตกที่ Manarola

ตัวเมือง Manarola
ตัวเมือง Manarola มองจากจุดชมวิว
มุมมหาชนแห่ง Manarola
พระอาทิตย์ตกที่สุดขอบทะเล สวยดีครับ
ท้องฟ้ายามเย็นหลังพระอาทิตย์ตกไปแล้ว
Manarola ยามค่ำ

ประมาณ 2 ทุ่มกว่า ๆ เราก็เดินทางกลับไปยัง La Spezia แวะกินข้าวพักผ่อนเพื่อเตรียมเดินทางไปยังเวนิสต่อไปครับ

.

23 ก.ย. 61: เกาะบูราโน เวนิส

วันนี้ทั้งวันเกือบจะหมดไปกับการเดินทางระหว่าง La Spezia ไปยังเวนิสครับ เราออกจาก La Spezia 10 โมงเช้า ไปถึงเวนิสบ่ายสาม กว่าจะเข้าโรงแรมกว่าจะพักกินข้าวก็บ่ายแก่ ๆ แล้ว วันนี้ก็เลยไปแค่เกาะบูราโนครับ

เกาะบูราโนเป็นเกาะที่โด่งดังเรื่องบ้านสีสันฉูดฉาด สาเหตุเนื่องจากเกาะนี้เป็นหมู่บ้านชาวประมง เขาจึงต้องการจะมองเห็นบ้านของตนเองได้จากที่ไกล ๆ ภายนอกฝั่ง การเดินทางไปเกาะบูราโนใช้เวลาประมาณเที่ยวละ 1 ชม. นั่งชมวิวทะเลเพลินเลยครับ ค่าโดยสารรวมอยู่ในบัตรโดยสาร 24 ชม.อยู่แล้ว

.

อันนี้ตัวเมืองเวนิสนะครับ ระหว่างทางไปขึ้นเรือ
บรรยากาศบนเกาะบูราโน สีสันฉูดฉาดได้ใจ
ก่อนจะทาสีบ้านได้ต้องขออนุญาตทางการก่อนนะครับ แล้วเขาจะบอกมาว่าบ้านคุณทาสีอะไรได้บ้าง
สดใสน่ารักดีครับ
เป็นเกาะที่แมวเยอะดี ปกติไม่ค่อยเห็นแมวข้างถนนในเมืองยุโรป (เขาคงมีการควบคุมบางอย่างแหละครับ)
บ้านแถวนั้น

กว่าจะกลับจากเกาะก็ค่ำแล้ว หาร้านอาหารกินแล้วก็กลับโรงแรมพักผ่อนครับ

.

24 ก.ย. 61: ตัวเมืองเวนิส

วันนี้เป็นวันที่เราเที่ยวในตัวเมืองเวนิสกันครับ จากนั้น 2 ทุ่มก็ขึ้นรถไฟไปมิลาน ที่แรกที่เราจะไปก็คือ Saint Mark’s Basilica ครับ เพราะจอง Skip the Line ไว้

.

จัตุรัสซานมาร์โค และ Saint Mark’s Basilica

เป็นจัตุรัสกลางของเวนิสที่มีสถานที่สำคัญ ๆ หลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือ Saint Mark’s Basilica ซึ่งสร้างขึ้นเป็นที่เก็บศพของเซนต์มาร์ค ซึ่งพ่อค้าชาวเวนิส 2 คนขโมยมาตั้งแต่สมัยยุคกลาง หลังที่เห็นในปัจจุบันเป็นหลังที่สร้างขึ้นทดแทนหลังเดิมที่ถูกไฟไหม้ไปครับ ข้างในมหาวิหารนั้นไม่ให้ถ่ายรูปนะครับ

บรรยากาศบริเวณจัตุรัสซานมาร์โค น้ำท่วมแบบที่เห็นในภาพนี้เป็นเรื่องปกติเวลาระดับน้ำทะเลขึ้นสูงครับ
จัตุรัสซานมาร์โค มองไปเห็น Saint Mark’s Basilica และหอระฆังข้าง ๆ
มหาวิหารนี้เข้าฟรีครับ แต่คิวจะยาวมาก
ด้านซ้ายของมหาวิหารคือหอนาฬิกา Torre dell’Orologio เป็นนาฬิกาดาราศาสตร์แห่งหนึ่งในยุโรป
ม้าด้านบนนี้ชาวเวนิสไปปล้นมาจากคอนสแนติโนเปิลก่อนในช่วงศตวรรษที่ 3-4 จากนั้นก็มาโดนนโปเลียนนำไปหลังจากพิชิตอิตาลี ก่อนจะได้คืนมาภายหลัง ที่เห็นนี้เป็นของเลียนแบบนะครับ ของจริงอยู่ในพิพิธภัณฑ์

.

Caffè Florian

บริเวณฝั่งขวาของจัตุรัสเซนต์มาร์คคือ Caffè Florian เป็นร้านกาแฟเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 นับเป็นหนึ่งในร้านกาแฟที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปที่ยังให้บริการอยู่

บรรยากาศหน้าร้าน
บรรยากาศภายในร้าน จริง ๆ เหมือนจะไม่ได้ขายแค่กาแฟนะครับ เป็นบาร์อะไรแบบนั้นด้วย

.

วังผู้ครองนคร (Doge’s Palace)

ในอดีตก่อนที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอิตาลี เวนิสเป็นนครอิสระที่ปกครองโดยเจ้าผู้ครองนคร หรือ โดเจ (Doge) จริง ๆ ช่วงยุคเรอเนสซองซ์นี่เวนิสเจริญรุ่งเรืองมากนะครับเพราะผูกขาดการค้าเครื่องเทศบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ก่อนที่เนเธอร์แลนด์จะค้นพบวิธีเดินเรือข้ามแหลมกู้ดโฮปของแอฟริกา เวนิสจึงเสื่อมลงในเวลาต่อมา วังนี้ก็เป็นหลักฐานแสดงถึงความรุ่งเรืองของเวนิสในยุคอดีตครับ

วังผู้ครองนคร มองจากภายนอก
มุมมหาชนอีกแห่งของเวนิส ถ่ายเรือกอนโดล่าจากชายฝั่งริมวังผู้ครองนคร
ภายในวัง สวยงามทีเดียวครับ
บรรยากาศภายในวัง
บรรยากาศภายในวังอีกภาพ
ด้านในก็จะเป็นห้องต่าง ๆ ที่มีภาพวาดประดับ แต่เหมือนเฟอร์นิเจอร์ไม่ค่อยอยู่แล้ว ไม่รู้ทำไมเหมือนกันครับ
Il Paradiso โดย Tintoretto ภาพนี้ใหญ่มาก ๆ นะครับ ผนังห้องโถงทั้งห้อง
ไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งก็คือที่นี่ครับ Bridge of Sighs หรือสะพานถอนหายใจ เพราะวังนี้เชื่อมกับคุกด้วย นักโทษที่ได้รับการพิพากษาก็จะเดินผ่านสะพานนี้ไปยังคุก พร้อมมองแสงอาทิตย์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะถอนหายใจออกมา
คุกที่ติดกับวังครับ อันนี้คือห้องขัง
สะพานถอนหายใจ มองจากภายนอก
วังผู้ครองนครและหอระฆัง เมื่อมองจากบนเรือ
อันนี้คือโบสถ์ Basilica di Santa Maria della Salute นั่งเรือผ่านครับ

.

สะพานอัคคาเดเมีย (Ponte dell’Accademia)

เวนิสนั้นเป็นเมืองที่แบ่งเป็นสองฝั่งด้วยคลองเส้นหลักที่ชื่อว่าแกรนด์คาแนล (Grand Canal) การจะข้ามแกรนด์คาแนลนี้หลัก ๆ มีอยู่ 4 สะพาน หนึ่งในนั้นก็คือสะพานอัคคาเดเมียนี่แหละครับ

เป็นสะพานไม้เพื่อเชื่อมสองฝั่ง สถานที่หลัก ๆ บริเวณนี้ก็คือหอศิลป์อัคคาเดเมียครับ (แต่พวกผมไม่ได้ไป)
วิวจากบนสะพานครับ
มุมมหาชนอีกแห่งของเวนิส ถ่ายจากบนสะพานนี้แหละครับ จะมองไปเห็น Basilica di Santa Maria della Salute

.

โรงอุปรากร Teatro la Fenice

เป็นโรงอุปรากรประจำเมืองเวนิส Le Fenice อันนี้ก็คือนกฟีนิกซ์ครับ เพราะโรงอุปรากรนี้เคยไฟไหม้มาแล้วถึง 3 ครั้ง แต่ก็ยังเกิดขึ้นมาได้ใหม่ โรงอุปรากรนี้เป็นโรงละครดังที่ใช้จัดแสดงโอเปร่าหลาย ๆ เรื่องในอดีต

The foyer ของโรงอุปรากร
ห้องแสดงละครหลัก ที่เห็นด้านบนคือที่นั่งของกษัตริย์ (The royal box) ซึ่งผ่านการสร้างและทุบทิ้งมาหลายรอบตามสถานการณ์การเมืองในเวนิส
The Sala Grande ห้องจัดงานเลี้ยง

.

บรรยากาศภายในเมือง

เก็บภาพบรรยากาศในเมืองไปเรื่อยครับ

คลองแคบ ๆ และมีกอนโดล่าแล่นผ่าน เอกลักษณ์ของเวนิสเขาล่ะครับ
แต่จะไปนั่งนี่แอบแพงนะครับ 80 ยูโรต่อ 40 นาทีเลยทีเดียว
สวยจริง ๆ ครับมองไป
เรือบางลำก็ประดับตกแต่งสวยงาม แต่เหมือนตามกฎหมายแล้วทุกลำต้องสีดำครับ

.

สะพานรีอัลโต (Ponte Rialto)

สะพานข้ามแกรนด์คาแนลอีกแห่งหนึ่งครับ ข้างบนสะพานก็มีร้านค้า บริเวณใกล้ ๆ กันจะเป็นตลาดรีอัลโต้ ตลาดสำคัญของเวนิส

สะพานรีอัลโต้
เวนิสยามบ่ายแก่ ๆ มองจากบนสะพานรีอัลโต้

.

Ponte degli Scalzi 

อันนี้คือสะพานข้ามแกรนด์คาแนลอีกแห่งหนึ่ง จริง ๆ เป็นแห่งแรกที่เราจะเจอเมื่อลงมาจากสถานีรถไฟเลยครับ

วิวจากบนสะพาน Ponte degli Scalzi ด้านขวาคือสถานีรถไฟ ด้านซ้ายคือโบสถ์ Chiesa di San Simeone Piccolo

เราออกจากเวนิสราว 2 ทุ่มไปถึงมิลานราว 5 ทุ่มเนื่องจากรถไฟดีเลย์ครับ จริง ๆ น่าจะราว 4 ทุ่มครึ่ง ดีที่จองโรงแรมไว้ใกล้สถานีรถไฟก็เลยเดินไปไม่ยากเท่าไหร่ครับ ก็เข้าโรงแรมพักผ่อนเพื่อเดินทางต่อในวันถัดไป

.

25 ก.ย. 61: ทะเลสาบโคโม

วันนี้เป็นวันที่เราใช้เวลาทั้งวันไปกับการเที่ยวรอบ ๆ ทะเลสาบโคโมครับ บริเวณนี้ก็จะมีเมืองอยู่หลาย ๆ เมือง พวกเราเริ่มกันที่เมืองวาเรนนา (Varenna) แล้วไปต่อที่เบลลาจิโอ (Bellagio) และจบที่เมืองเลนโน (Lenno) ครับ ส่วนตัวแล้วเป็นที่ที่ผมชอบมาก ๆ ในทริปนี้นะครับ ให้เกรดเดียวกันกับการล่องฟยอร์ดในนอร์เวย์เลย

.

สถานีรถไฟ Milan Centrale

คือสวยดีครับเลยถ่ายรูปมา จริง ๆ ในบรรดาเมืองที่ไปมาทั้งหมดในทริปอิตาลีนี้ ผมว่ามิลานดูเจริญสุด หมายถึงดูเป็นเมืองเศรษฐกิจที่สุดแล้ว แม้จะไม่ค่อยมีอะไรให้เที่ยว

สถานี Milan Centrale
ภายในสถานีก็สวยดีครับ

.

วาเรนนา (Varenna)

จากมิลานมาถึงวาเรนนานี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครับ แต่พอรถไฟเข้าเขตทะเลสาบก็จะมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามให้ชม ซึ่งชมวิวได้ไม่เบื่อเลยครับ

วาเรนนานี่เป็นเมืองเล็ก ๆ ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ แต่เป็นจุดหลักในการขึ้นเรือ
จุดชมวิวทะเลสาบในวาเรนนา
วิวเมืองอีกฝั่ง (ไม่แน่ใจว่าเมืองอะไร) จากจุดชมวิว
ตัวเมืองวาเรนนา

.

เบลลาจิโอ (Bellagio)

ได้ชื่อว่าเป็นไข่มุกแห่งทะเลสาบโคโมครับ แต่พวกผมไม่ได้เดินไปดูในเมืองเท่าไหร่เพราะไปถึงบ่ายแก่ ๆ แล้วกำลังหิวเลย และมีแผนจะไปเลนโนต่อ

ตัวเมืองเบลลาจิโอ
ภายในเมืองเบลลาจิโอครับ ก็จะเป็นขั้นบันไดขึ้นไปเรื่อย ๆ แบบนี้แหละครับ แต่พวกผมไม่ได้ขึ้นเหมือนกัน

.

บรรยากาศการล่องทะเลสาบ

เก็บภาพบรรยากาศการล่องทะเลสาบมาให้ดูครับ อากาศกำลังชิล ๆ ดี ล่องเรือรับลมไปเรื่อยฟินมากครับ

บรรยากาศการล่องทะเลสาบ
บรรยากาศการล่องทะเลสาบ
จำไม่ได้แล้วว่าหมู่บ้านอะไรบ้าง
บรรยากาศการล่องทะเลสาบ
บรรยากาศบนเรือ
บรรยากาศการล่องทะเลสาบ สวยมากครับ มองไปเป็นเขามีรอยทแยงมุม
จำไม่ได้แล้วว่าหมู่บ้านอะไร

.

เลนโน (Lenno)

ไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ Villa del Balbianello ซึ่งเป็นวิลล่าที่เขาว่าสวยมากครับ เป็นสถานที่ถ่ายทำเจมส์บอนด์ 007 ตอน Casino Royale และ Star Wars ep.II Attack of the Clones เสียดายว่าตอนที่เราไปถึง เขาปิดซะแล้ว ก็เลยได้แค่เดินเล่นดูรอบ ๆ หมู่บ้านนิดหน่อยและก็กลับเลยครับ

บรรยากาศทางเดินริมทะเลในเลนโน ชิลดีนะครับ

เสร็จแล้วเราก็เดินทางกลับไปยังตัวเมืองมิลาน เช็ครอบรถไฟกลับดี ๆ นะครับเพราะนาน ๆ มาทีมาก เรารอกันหลายชั่วโมงเลยครับกว่าจะได้กลับ 😅

.

26 ก.ย. 61: มิลาน

วันนี้เป็นวันเที่ยววันสุดท้ายของทริปอิตาลีแล้ว เราก็เลยไม่ได้เที่ยวอะไรมากครับ เน้นสถานที่สำคัญ ๆ ที่เหลือก็ชิลเล่นไปเรื่อย เลยจะไม่ค่อยได้ไปไหนครับ

.

อาสนวิหารมิลาน (Duomo di Milano)

คนไทยชอบแปลเป็นมหาวิหารมิลาน แต่เท่าที่ผมเช็คดูเขาเป็น Cathedral นะครับ ดังนั้นจึงน่าจะใช้คำว่าอาสนวิหาร ถ้ามหาวิหารต้อง Basilica อย่างไรก็ดี อันนี้ก็คือโบสถ์หลักของเมืองแหละครับ เนื่องจากจำนวนคิวยาวมหาศาล เลยไม่ได้เข้าไปครับ

ที่มหาศาลพอ ๆ กับนักท่องเที่ยวก็คือนกพิราบนี่แหละครับ
เป็นอาคารที่สวยมาก ๆ นะครับ
มองจากอีกฝั่งหนึ่ง
ด้านตรงข้ามเป็นอนุสาวรีย์ของพระเจ้าวิตโตริโอ เอมานูเอลที่ 2 กษัตริย์ผู้รวมชาติอิตาลี

.

กัลเลเรียวิตตาริโอ เอมานูเอลที่ 2

ติดกับดูโอโมคือที่นี่ครับ เป็นศูนย์การค้าตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 ภายในมีร้านค้าหรูมากมาย การประดับตกแต่งก็สวยงามครับ

มองจากภายนอก กัลเลรียวิตตาริโอ เอมานูเอลที่ 2
ภายในศูนย์การค้า แค่อาคารก็ดูแพงแล้ว
ไฮไลท์ของที่นี่คือโมเสค 4 รูปครับ หนึ่งในนั้นคือรูปวัวกระทิงแห่งเมืองตูริน เขาว่ากันว่าใครมายืนบนอัณฑะวัวแล้วหมุนตัว 3 รอบก็จะโชคดีครับ
บรรยากาศภายในศูนย์การค้า สวยดีครับ
หลังคาเหล็กของศูนย์การค้า
เดินทะลุไปจะไปโผล่ยัง Piazza della Scala ซึ่งมีอนุสาวรีย์ของลีโอนาร์โด ดา วินชีอยู่ครับ รอบรอบด้วยศิษย์ 4 ของเขาซึ่งเชี่ยวชาญกันคนละด้าน

.

ถนนสายแฟชั่น

มิลานได้ชื่อว่าเป็นเมืองแฟชั่น เพราะเป็นแหล่งกำเนิดของแบรนด์เสื้อผ้าดัง ๆ มากมาย บริเวณถนน Via Montenapoleone และ Via della Spiga อันนี้ก็คือถนนสายแฟชั่นของที่นี่ที่รวมร้านค้าแบรนด์เนมมากมายครับ ผมเองก็ไม่ค่อยรู้จักแบรนด์แฟชั่นเลยเป็นแนวเดินดูผ่าน ๆ แต่ส่วนตัวผมไม่ค่อยรู้สึก wow นะ ผมว่า Champs Elysées ของปารีสมีความ wow กว่า

กระเป๋า Coach
Versace
เป็นนาฬิกายี่ห้อที่แพงมาก เดือนละหลายแสน
ถนน Corso Vittorio Emanuele II เส้นนี้จะมีแบรนด์ราคาถูกลงมาหน่อย
ร้าน Apple Store สวยมากครับ
ภายใน Apple Store คนเยอะมาก

หลังจากนั้นก็เดินทางไปพักผ่อนที่โรงแรมครับ มื้อเย็นจำได้ว่ากินร้าน Osteria italiana แถว Central Station ที่จำได้เพราะอร่อยดีครับ

.

27 ก.ย. 61: จบทริป

วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของทริปครับ ไม่มีอะไรมาก ตื่นมาเดินทางไปสนามบิน ผมไปต่อที่เบอร์ลินครับ ก็เป็นอันจบทริปอิตาลีนี้ครับ ไว้เจอกันใหม่ที่เบอร์ลินครับ 🙂

ถ่ายจากบนเครื่องระหว่างไปเบอร์ลิน ผมว่าอันนี้น่าจะแถว ๆ ทะเลสาบโคโมนะ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *