เที่ยวอิตาลี 11 วัน – ตอนที่ 2: ฟลอเรนซ์ ปิซ่า

หลังจากตอนที่แล้วที่ผมเที่ยวในโรม เช้าวันที่ 19 ก.ย. เราก็เดินทางต่อกันไปยังฟลอเรนซ์ เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นจุดเริ่มต้นของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (ยุคเรอเนสซองซ์ – Renaissance) และก็ต่อไปยังปิซ่าเพื่อชมหอเอนเมืองปิซ่า

ความคิดเห็นต่อทริปโดยรวม

  • ฟลอเรนซ์เป็นเมืองที่มีเสน่ห์ในแบบของตนเอง ตึกรามบ้านช่องสวยดี มีความคลาสสิค เมืองไม่แออัดและวุ่นวายเหมือนโรม แต่ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวในเชิงศิลปวัฒนธรรมที่น่าสนใจให้ชม
  • ฟลอเรนซ์ดูโอโม – ข้างนอกสวยงามอลังการ ข้างในไม่มีอะไร ซันตาโกรเชสวยกว่า ส่วนชมวิวเมืองจากบนหอระฆังดีอยู่ครับ หลังคาส้ม ๆ ดี
  • หอศิลป์อุฟฟิซิ – ผมนึกว่าจะเล็ก ๆ จริง ๆ ใหญ่มากนะครับ ถ้าจะเดินควรเผื่อเวลาเยอะ ๆ
  • วังปิตตี – สวยงามอลังการกว่าที่คิดไว้ สายเที่ยววังไม่ควรพลาดครับ
  • ปิซ่าเป็นเมืองเล็ก ๆ นอกไปจากเขตที่เป็นที่ตั้งของหอเอนเมืองปิซ่าแล้วก็ไม่ได้มีอะไรเท่าไหร่ แต่ผมก็ชอบนะครับ ชอบในความเมืองเล็ก ๆ นี่แหละ ผมชอบเดินเล่นในเมืองเล็ก ๆ

ทิปเล็กทิปน้อย

  • ที่ฟลอเรนซ์นี่พวกผมซื้อ Firenze Card มีขายแบบเดียวคือ 72 ชม. ราคา 85 ยูโร จริง ๆ แพงมาก แต่ครอบคลุม การเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ฟรีและไม่ต้องต่อคิว ถ้าใครอยู่ฟลอเรนซ์สั้น ๆ อาจจะไม่ค่อยคุ้มครับ
  • แต่ Firenze Card นี้ไม่ครอบคลุม public transport นะครับ แต่ก็ไม่ได้จำเป็นมากเพราะที่เที่ยวในฟลอเรนซ์ค่อนข้างอยู่ใกล้ ๆ กัน จึงเน้นเดินอยู่แล้ว ตั๋วก็ซื้อเป็นเที่ยวเอาได้ครับ
  • เช็คเวลาเปิดปิดของดูโอโมให้ดีครับ ตอนพวกผมไปปรากฏว่า 16:00 ปิดแล้ว ต้องมาอีกวันเลย และก็ถ้าจะขึ้นไปบนโดมต้องจองก่อนนะครับ
  • ระวังเรื่องเครื่องแต่งกายต้องมิดชิดครับถึงจะเข้าดูโอโมได้
  • มีที่หนึ่งที่ผมอยากไปมากแต่ไปไม่ทัน ก็คือจุดชมวิวเมืองที่ Piazzale Michelangelo ครับ คนนิยมไปชมพระอาทิตย์ตกที่นั่นกัน
  • ที่ปิซ่าพวกผมไม่ได้ซื้อ pass อะไร แต่มีจองขึ้นหอเอนเมืองปิซ่าไว้ล่วงหน้า ถ้าท่านใดอยากเข้าที่อื่น ๆ ด้วยก็ซื้อไว้ได้เลยเช่นกันครับ ส่วน public transport ก็ซื้อเป็นเที่ยวเอาครับ
  • ถ้าจะไปดูหอเอนเมืองปิซ่าเฉย ๆ ครึ่งวันก็หมดแล้วครับ ไม่จำเป็นต้องค้างที่ปิซ่า ถ้าจะไป Cinque Terre ต่อก็ขึ้นรถไฟต่อไป La Spezia ได้เลย
  • ที่ปิซ่านี่ตอนแรกว่าจะไปอุทยาน Migliarino San Rossore ด้วย แต่ว่าห่างจากตัวเมือง 5 กม. และไม่มี public transport ไปที่นั่นเลย ก็เลยไม่ได้ไปครับ

.

รีวิวที่พัก

ที่ฟลอเรนซ์พวกผมพักที่ B&B Hotel Firenze City Center ส่วนตัวผมว่าก็โอเคนะครับ ทำเลตั้งอยู่ไกลจากทั้ง central station และแหล่งท่องเที่ยวประมาณ 1 กม. จริง ๆ ก็พอเดินไหว แต่ขึ้นรถบัสก็เหมาะกว่า ด้านห้องพักก็เหมือนโรงแรม 3 ดาวทั่ว ๆ ไป เป็นห้องพักธรรมดา บรรยากาศห้องอาจอึมครึมนิด ไม่ได้สวยงามอะไรมาก แต่โดยรวมก็โอเคครับ  มีอาหารเช้าบุฟเฟต์ขาย เป็นพวกขนมปัง แฮม

ที่ปิซ่าพวกผมพักที่ Liberi di Sognare เป็น B&B ครับ ค่อนข้างประทับใจมากนะครับ เจ้าของ nice มาก ๆ รู้สึกว่าเขามีความใส่ใจในรายละเอียดทุก ๆ อย่างของการมาพักของเรา ตั้งแต่สีเฟอร์นิเจอร์จนถึงอาหารเช้า เรื่องทำเลจริง ๆ ไม่ได้ดีมาก ไกลจาก central station เล็กน้อย (1.5 กม.) ห่างจากหอเอน 1 กม. ถ้าจะเดินไปถนนที่ร้านอาหารเยอะ ๆ ก็จะ 1 กม. กว่า ๆ เหมือนกัน ก็อาจต้องใช้ public transport บ้างถ้าเหนื่อย ๆ ไม่อยากเดิน

.

19 ก.ย. 61: รูปปั้นเดวิด, ดูโอโม, พิพิธภัณฑ์ดูโอโม

ออกเดินทางจากโรม 11:15 น. มาถึงฟลอเรนซ์ 12:46 น. ก็ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งครับ กินข้าวเข้าโรงแรม พักผ่อนเล็กน้อย บ่าย ๆ ก็ออกมาเที่ยวในเมืองครับ

วิวดูโอโม มองจากโรงแรม

.

หอศิลป์ Galleria dell’Accademia

เป็นหอศิลป์ขนาดไม่ใหญ่มาก ที่โด่งดังที่สุดก็คือรูปปั้นเดวิดของมิเกลันเจโล จริง ๆ เรื่องของเดวิดกับโกไลแอธนี้เป็นเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิ้ลที่มีศิลปินหลายคนนำไปเล่าในหลายรูปแบบ ในทางธุรกิจเองก็มักนำมาเปรียบเทียบกับกรณีที่บริษัทเล็ก ๆ ที่ด้อยกว่าทุกอย่างสามารถล้มยักษ์ได้ด้วยกลยุทธ์และความประมาทของฝ่ายตรงข้าม

ก่อนหน้านี้ศิลปินมักเล่าเรื่องของเดวิดหลังจากชนะโกไลแอธแล้ว (เช่นรูปปั้นของโดนาเตลโลที่เดวิดเหยียบศีรษะที่ถูกตัดของโกไลแอธอยู่) มิเกลันเจโลเป็นคนแรกที่เล่าเรื่องนี้ตอนก่อนจะสู้กัน เป็นเดวิดยืนในท่าทีผ่อนคลาย แต่ก็มองด้วยสายตามุ่งมั่น เรื่องกายวิภาคก็มีรายละเอียดสมบูรณ์สวยงามเหมือนมนุษย์จริง จึงทำให้เป็นรูปปั้นที่มีชื่อเสียงครับ

ก่อนหน้านี้ตั้งอยู่ที่ Piazza della Signoria ตากแดดตากฝนอยู่ จึงได้ย้ายมาเก็บที่นี่แล้วเอารูปปั้นจำลองไปตั้งแทน

ใหญ่มากนะครับ สูง 5 เมตรกว่า ๆ
มองจากอีกมุมหนึ่งครับ
หอศิลป์ก็มีประติมากรรมอื่น ๆ อีก จริง ๆ มีน่าสนใจหลายชิ้นนะครับ
เมืองใหญ่ ๆ ในอิตาลีมักมีนักดนตรีมาแสดงเปิดหมวก ซึ่งผมชอบนะ การมีเพลงช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในการเดินเที่ยว
เดินไปไม่ไกลก็จะเริ่มมองเห็นดูโอโมครับ

.

อาสนวิหารซันตามาเรียแห่งฟลอเรนซ์ (Cathedral of Santa Maria del Fiore)

เรียกสั้น ๆ ว่าดูโอโมครับ เป็นโบสถ์เก่าแก่ตั้งแต่ปีค.ศ. 1296 ทำจากหินอ่อนสามสี มีความสวยงามยิ่งใหญ่อลังการ การเยี่ยมชมดูโอโมนี่มาเป็นแพ็คเกจ คือ 1) ดูโอโม 2) หอระฆัง 3) หอรับศิลป์ และ 4) พิพิธภัณฑ์ดูโอโม ถ้าเราซื้อ Firenze Card ทั้งหมดนี้เราเข้าฟรี แต่เราต้องเอาการ์ดเราไปเปลี่ยนเป็นบัตรก่อนที่ใกล้ ๆ ถ้าไม่มีการ์ด เข้าฟรีเฉพาะดูโอโมครับ

ดูโอโมตอนบ่ายแก่ ๆ มองจากด้านหน้า
รอรับศีล (The Baptistery of St. John) ครับ
เพดานโมเสคของหอรับศีล
ภายในหอรับศีล
ไฮไลท์อย่างหนึ่งของหอรับศีลก็คือประตูนี่แหละครับ มีการจัดประกวดออกแบบประตูในปี 1401 ซึ่งสุดท้ายผู้ที่ได้สร้างประตูคือ Lorenzo Ghiberti ซึ่งมิเกลันเจโลเรียกประตูนี้ว่า Gates of Paradise
ด้านข้างของดูโอโมบริเวณทางขึ้นหอระฆังครับ ใหญ่โตอลังการ
มองไปที่ดูโอโมจากระหว่างการเดินขึ้นหอระฆัง
ขึ้นมาด้านบนหอระฆังแล้ว มองไปทางโดมของดูโอโม
ชมวิวเมืองฟลอเรนซ์จากบนหอระฆังครับ มองไปเห็นวังเวคคีโอ และมหาวิหารซันตาโกรเช
หลาย ๆ อย่างที่เห็นบนดูโอโมเป็นสิ่งที่ทำเลียนแบบครับ ของจริงนำมาเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ดูโอโมนี้ครับ (Museum of Opera of Saint Maria of Fiore)
The Gate of Paradise ของจริง (ที่หน้าหอรับศีลนั้นสร้างเลียนแบบ)

หลังจากนั้นพวกผมก็กลับโรงแรมพักผ่อนครับ

.

20 ก.ย. 61: ดูโอโม (ต่อ), หอศิลป์อุฟฟิซิ, มหาวิหารซันตาโกรเช, วังปิตตี

เนื่องจากเมื่อวานไม่ได้เข้าไปข้างในดูโอโม วันนี้เลยมาเข้าก่อนไปที่อื่นครับ ใช้เวลาต่อคิวกว่า 1 ชม. ในที่สุดก็ได้เข้าไปครับ

ศิลปินวาดภาพขายบริเวณหน้าดูโอโม
ภายในดูโอโม จริง ๆ ผมว่าความอลังการไม่ค่อยสมกับข้างนอกเท่าไหร่
บริเวณยอดโดมคือภาพวาด The Last Judgement โดย Giorgio Vasari
บรรยากาศภายในดูโอโม ไม่ค่อยมีอะไรครับ
ด้านข้างของดูโอโม
ด้านหน้าของดูโอโม คนรอเข้ามหาศาล ช่วงใกล้จะได้เข้าจะมีคนมาคอยขายผ้าปิดไหล่ปิดขาสำหรับสุภาพสตรี ไม่งั้นเข้าไม่ได้
เดินผ่าน Piazza della Repubblica อดีตจัตุรัสสำคัญในอดีต
บรรยากาศภายในเมือง
บรรยากาศภายในเมือง
และก็เดินมาถึง Piazza della Signoria ครับ อาคารที่เห็นคือวังเวคคีโอ
บรรยากาศ Piazza della Signoria
หน้าวังเวคคีโอมีรูปปั้นเดวิดจำลอง (ซ้าย) และรูปปั้น Hercules and Cacus (ขวา)
พอดีวันนี้ที่วังมีงานเลยปิดไม่ให้เข้าครับ เลยได้แต่ถ่ายบริเวณชั้นล่าง

.

หอศิลป์อุฟฟิซิ

เป็นที่เก็บรวบรวมงานศิลปะที่ตระกูลเมดีซีเก็บสะสมไว้ ตระกูลเมดีซีเป็นตระกูลที่เรืองอำนาจในสมัยเรอเนสซองซ์ มีศูนย์กลางอยู่ที่ฟลอเรนซ์ (สมัยนั้นยังไม่ได้รวมประเทศเป็นอิตาลี) ภายหลังก็ตกทอดมาเรื่อย ๆ จนตกเป็นของเมืองฟลอเรนซ์ในปัจจุบัน

ภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดน่าจะภาพนี้ครับ The Birth of Venus โดยซานโดร บอตติเชลลี (Sandro Botticelli)
มีงานศิลปะหลายประเภทในหอศิลป์ ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม
รูปปั้น Laocoön sculpture เลียนแบบของจริงที่วาติกัน
The Madonna with the Long Neck โดย Parmigianino
Venus of Urbino โดย Titian เป็นภาพที่มีคนวาดภาพที่คล้าย ๆ กันออกมาเยอะเหมือนกันครับ

.

มหาวิหารซันตาโกรเช

เป็นมหาวิหารที่เป็นที่ฝังศพของบุคคลสำคัญหลายคน เช่น มิเกลันเจโล, กาลิเลโอ, ฯลฯ ภายในมหาวิหารยังมีความสวยงามและมีงานศิลปะเด่น ๆ หลายชิ้น แต่ตอนนั้นไปแบบงง ๆ ระหว่างรอกินข้าว เลยไม่ได้ถ่ายมาครับ

เป็นมหาวิหารที่ต้องเสียค่าเข้าชมครับ แต่ถ้ามี Firenze Card ก็เข้าฟรีเช่นเคยครับ

มหาวิหารซันตาโกรเช มองจากภายนอก ด้านหน้าเป็นลานที่มีผู้คนมานั่งชิลกัน
บรรยากาศภายในมหาวิหารซันตาโกรเช

.

สะพานเวคคิโอ (Ponte Vecchio)

เดิมเป็นสะพานไม้ 2 ชั้นมีหลังคาคลุม สร้างในสมัยศตวรรษที่ 12 โดยตระกูลเมดิซีเพื่อใช้เดินทางระหว่างวังปิตตีกับตึกสำนักงานอุฟฟิซิ (หอศิลป์อุฟฟิซิในปัจจุบัน) ที่ต้องเป็น 2 ชั้นเพื่อเวลาเดินจะไม่เปียก ต่อมาก็มีร้านขายของมาตั้งบนสะพาน และกลายเป็นแหล่งรวมของช่างเงินช่างทอง จึงกลายเป็นย่านหรูหรามาจนถึงปัจจุบัน

สะพานที่เห็นในปัจจุบันเป็นการสร้างใหม่เนื่องจากของเดิมถูกทำลายไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

อันนี้เป็นอีกสะพานนะครับ เป็นสะพานสำหรับไปยัง Piazzale Michelangelo ซึ่งคนนิยมไปชมวิวกันครับ
อันนี้แหละครับสะพานเวคคีโอ
สะพานเวคคีโอ เมื่อมองลงมาจากหอศิลป์อุฟฟิซิ
บรรยากาศบนสะพาน

.

วังปิตตี

เป็นวังเก่าของตระกูลเมดิซีซึ่งซื้อมาจากตระกูลปิตตี ภายในมีความโอ่อ่าอลังการ มีห้องหับต่าง ๆ เยอะแยกเป็นหลาย ๆ นิทรรศการ จริง ๆ ในแง่ความงามของวัง ผมว่าเกรดเดียวกับพระราชวังแวร์ซายล์ที่ฝรั่งเศสด้วยซ้ำครับ ด้านหลังยังเป็นสวน Boboli Gardens ให้ชม (แต่สวนปิดเร็วราว 16:30) ทั้งหมดนี้ถ้ามีบัตร Firenze Card เข้าฟรีครับ

อาคารวังปิตตี บริเวณทางเข้า
ภายในตัววัง ชั้นบนสุดเป็น Museum of Costume and Fashion สวยดีครับ
เนื่องจากห้องค่อนข้างเยอะ ผมเลยลืมแล้วว่าอันไหนห้องอะไรบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นห้องที่มีงานศิลปะจัดแสดงแบบนี้แหละครับ
สวยดีครับ งานศิลปะเยอะมาก ๆ
บรรยากาศภายในวัง
บรรยากาศภายในวัง จริง ๆ ห้องแบบนี้มีเยอะมาก
เพดานสวยดีครับ
บรรยากาศภายในวัง
สวยดีครับ

หลังจากนั้นพวกผมก็เดินทางกลับโรงแรมพักผ่อน เพื่อเตรียมเดินทางต่อไปยังปิซ่าในวันรุ่งขึ้น
.

21 ก.ย. 61: ปิซ่า

การเดินทางไปปิซ่านี้ เราไม่ได้จองล่วงหน้าครับ ก็เดินไปสถานีรถไฟ ซื้อตั๋วรอบที่ใกล้ที่สุดแล้วก็ขึ้นเลย (ก่อนขึ้นอย่าลืม validate ตั๋วนะครับ) พอดีจองรอบขึ้นหอเอนไว้ตอน 14:00 ไปถึงปิซ่าก็ขึ้นรถบัสไปโรงแรมแล้วออกไปเลยครับ

.

The Square of Miracles

จัตุรัสแห่งปาฏิหาริย์นี้ประกอบด้วยหลายอย่างครับ 1) อาสนวิหาร (Cathedral) 2) หอรับศีล (Baptistery) 3) หอระฆัง (Companile หรือ Tower ก็คือหอเอนครับ) 4) อนุสรณ์สุสาน Camposanto 5) Sinopie Museum และ 6) Opera del Duomo Museum ตามที่ผมเข้าใจคืออาสนวิหารนี่เข้าฟรี แต่อย่างอื่นต้องเสียเงินครับ ส่วนการจะขึ้นหอเอนจะขึ้นเป็นรอบ ๆ ก่อนจะขึ้นต้องเอาของไปฝากก่อน

เราไปถึงที่นี่เกือบบ่ายสองแล้ว เลยตรงไปฝากกระเป๋าแล้วขึ้นหอเอนเลย เดินขึ้นบันได 294 ขั้นก็มาถึงยอด

สวยดีครับ มองลงไป
วิวจากบนหอเอนอีกมุมหนึ่ง
มองไปทางอาสนวิหาร
มองไปทางเมือง
บรรยากาศด้านบนหอเอน มองดูรูปเหมือนไม่เอียง แต่ขึ้นไปยืนจริงนี่เอียงมากนะครับ มีความหวาดเสียว
ขั้นบนสุดของหอเอน

จากนั้นเราก็ลงมาด้านล่างแล้วไปเข้าอาสนวิหารต่อ ผมว่าเป็นโบสถ์ที่สวยดีครับทั้งมองจากภายนอกและภายใน

บรรยากาศภายในอาสนวิหาร
ชอบเสา มีความสลับสี และเพดาน
ในอาสนวิหารก็มีงานศิลปะสวย ๆ หลายชิ้นเช่นกันครับ
Pulpit สวยดีครับ สร้างโดย Giovanni Pisano
เพดานเป็นภาพวาด Virgin in glory with saints โดย Orazio และ Girolamo Riminaldi
บรรยากาศภายในอาสนวิหาร ผมว่ามีความอิสลามนิด ๆ
The Square of Miracles มองจากภายนอกเห็นสิ่งก่อสร้างหลาย ๆ อย่าง ไล่มาตั้งแต่หอรับศีล อาสนวิหาร และหอเอน
อาสนวิหารและหอเอนแบบชัด ๆ
อันนี้คือกล้องผมตรงนะครับ แต่หอเอน

.

Piazza dei Cavalieri

หลังพักกินข้าว เราก็เดินทางต่อไปยัง Piazza dei Cavalieri จัตุรัสสำคัญของปิซ่า ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Scuola Normale Superiore (SNS) เป็นสถานบันที่มีชื่อเสียงของอิตาลี (แต่ผมไม่แน่ใจว่าเขาดังเรื่องอะไรเหมือนกันนะครับ)

บรรยากาศบริเวณ Piazza dei Cavalieri
ตัวอาคารของ Scuola Normale Superiore (SNS)

.

เดินเล่นภายในตัวเมือง

หลังจากนั้นเราก็เดินเล่นในเมืองกันไปเรื่อย ๆ ครับ เดินไปจนถึง central station เลยทีเดียว

แถวนี้ดูเป็นย่าน city center ของปิซ่า
หน้าโบสถ์ซักแห่ง
ย่าน Corso Italia ถนนช็อปปิ้งสำคัญของเมือง
Piazza Vittorio Emanuele II มีอนุสาวรีย์ของพระเจ้าวิตโตริโอ เอมานูเอลที่ 2 ผู้รวมชาติอิตาลี
ระหว่างทางมองเห็นโบสถ์ Santa Maria della Spina แต่ไม่ได้เข้าไปเหมือนกันครับ
วิวแม่น้ำอาร์โน จากบนสะพาน Solferino

.

ก็จบลงแล้วครับสำหรับทริปฟลอเรนซ์-ปิซ่า ในวันรุ่งขึ้นเราจะเดินทางไปยัง La Spezia เพื่อไปยัง Cinque Terre กันครับ


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *