เที่ยวบรัสเซลส์ (Brussels) และบรูจส์ (Bruges)

ทริปนี้เป็นหนึ่งในซีรีย์ 17 วันเที่ยวยุโรป 5 ประเทศ เป็นการเดินทางหลังเรียนจบ Health Informatics จากสวีเดนของผมเองครับ โดยเป็นการเดินทางต่อมาจากเมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 61 ที่ผ่านมา ปัญหาของทริปนี้คือผมเป็นไข้หวัดมาจากปารีส ทำให้ทริปนี้ไม่ค่อยได้ไปไหนมากเท่าไหร่ครับ เพราะกลับมานอนพัก

ความคิดเห็นต่อบรัสเซลส์และบรูจส์โดยรวม

  • บรัสเซลส์เป็นเหมือนปารีสที่เล็กลงมาหน่อย มีความเจริญแบบเมืองหลวงของยุโรป มีสิ่งก่อสร้างจากสมัยก่อนที่สวยอลังการพอประมาณ แต่ไม่ได้มีความแออัดวุ่นวายเหมือนปารีส ทำให้โดยรวมแล้วมีความชิลกว่าและน่าใช้ชีวิตอยู่มากกว่าปารีส
  • ส่วนบรูจส์นี่ให้อารมณ์คล้าย ๆ ทาลลินน์ คือเป็นเมืองเก่ามรดกโลกเหมือนกัน มีความชิลเหมือนกัน แต่ผมว่าโดยรวมบรูจส์เด็ดกว่า การมีแม่น้ำคูคลองตามเมืองช่วยให้เมืองน่าอยู่ขึ้นเยอะจริง ๆ ครับ
  • โดยรวมก็เป็นประเทศที่เหมาะเอาไว้ชิล สโลว์ไลฟ์ หลีกหนีความวุ่นวายในปารีส แวะพักซักนิดก่อนไปต่อเมืองอื่น ๆ ได้ดีครับ

.

ทิปเล็กทิปน้อย

  • จริง ๆ บรัสเซลส์เองก็มี Brussels card แต่ว่าลองดูแล้วสถานที่ที่อยู่ใน card ไม่ใช่ที่ที่ผมอยากไปเท่าไหร่ เลยไม่ได้ซื้อครับ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ดีนะครับ ลองเข้าไปดูรายละเอียดได้ครับ
  • ที่ผมซื้อคือเหมาะ public transport 48 ชม. ราคา 14 ยูโรครับ ผู้ดำเนินการ public transport ของบรัสเซลส์คือ STIM-MIVB ครับ
  • บรูจส์นี่ผมไม่แน่ใจว่ามี City Pass หรือเปล่านะครับ แต่ค่าเข้าสถานที่ต่าง ๆ ไม่ได้แพงมาก และการเดินทางไปที่ต่าง ๆ ผมใช้วิธีเดินเอาหมดเลย
  • แต่บรูจส์เป็นเมืองที่หาห้องน้ำฟรียาก ขนาดไปกินแมคโดนัลด์จะเข้าห้องน้ำในร้านยังต้องจ่ายเพิ่มเลย

.

11 ส.ค. 61: เที่ยวบริเวณเมืองเก่า

เมื่อมาถึงปารีส ผมเก็บของที่ Hostel Louise ก่อนจะออกไปเที่ยวบริเวณเขตเมืองเก่าครับ ขอรีวิวที่พักก่อนนะครับ คือ Hostel Louise นี่เป็นโฮสเทลที่ราคาถูกอันดับต้น ๆ ของบรัสเซลส์แล้ว (คืนละราว 600 บาท) แม้ว่าพนักงานจะค่อนข้างไนซ์กับเรา แต่คุณภาพก็จะตามราคาครับ ทั้งโฮสเทลมีห้องอาบน้ำห้องเดียว แถมเล็กและสกปรก ห้องน้ำก็มีไม่กี่ห้อง เตียงนอนก็ไม่มีปลั๊กไฟให้ Wi-Fi ใช้ไม่ค่อยได้ ประกอบกับผมไม่สบายหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ นอนได้คืนเดียวเลยตัดสินใจย้ายโรงแรม แม้จะจ่ายเงินไปแล้วก็ตามครับ ไม่แนะนำครับโฮสเทลนี้ ยอมจ่ายแพงอีกนิดพักดี ๆ ดีกว่า

วันต่อมา (12 ส.ค.) ผมเลยย้ายไปที่นอนที่โรงแรม Le Berger คืนละราว 1,800 บาทครับ นอนโรงแรมเนื่องจากไม่สบาย เลยอยากพักสบาย ๆ กับไม่อยากไปไอรบกวนคนอื่น เปลี่ยนโรงแรมแล้วชีวิตดีมากครับ โรงแรมดี สวย สะอาด มีข้อเสียเล็ก ๆ คือไม่ค่อยเก็บเสียงเวลาคนเดินหน้าห้อง กับอาหารเช้าราคาแพงไปนิด ก็จบการรีวิวที่พักครับ

กลับมาวันที่ 11 ส.ค. หลังจากเก็บของแล้วผมก็ไปเที่ยวเขตเมืองเก่าต่อครับ

.

จัตุรัสกร็องปลัส (Grand Place Square)

กร็องปลัสเป็นจัตุรัสเก่าแก่ที่อยู่คู่บรัสเซลส์มาตั้งแต่ก่อร่างสร้างเมือง แต่มาถูกทำลายลงในสงครามกับฝรั่งเศสในช่วงศตวรรษที่ 17 และได้มีการสร้างใหม่ในเวลาต่อมา ทำให้สถาปัตยกรรมต่าง ๆ มีความสวยงามกลมกลืนกัน ต่อมาช่วงศตวรรษที่ 18 คณะปฏิวัติได้ยึดอาคารโดยรอบและขายทอดตลาด อาคารต่าง ๆ ถูกทิ้งร้าง ก่อนจะได้รับการบูรณะอีกครั้งในศตวรรษที่ 19 จัตุรัสนี้ได้รับการโหวตว่าเป็นจัตุรัสที่สวยงามที่สุดในยุโรปเมื่อปี 2010

ซ้ายมือ อาคารสูงโดดเด่นคือ Town Hall ส่วนขวามือฝั่งตรงข้ามคือ Museum of the City of Brussels
ขวามือ House of the Dukes of Brabant
ตึกอะไรบ้างไม่รู้ครับ แต่สวยดี
ถ่ายตึกอีกฝั่ง ก็สวยอีกนั่นแหละ
บริเวณเขตเมืองเก่านี้มีคนมาแสดงเปิดหมวกด้านต่าง ๆ มากมาย
บรรยากาศเขตเมืองเก่า

.

แก๊งค์เด็กฉี่ (Manneken Pis (เด็กชาย), Jeanneke Pis (เด็กหญิง), และ Zinneke Pis (หมา))

รูปปั้นเด็กชายฉี่ Manneken Pis นี่แทบจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของบรัสเซลส์แล้ว ใครมาต้องมาถ่ายกับรูปปั้นนี้ เป็นรูปปั้นที่แสดงถึงจิตวิญญาณความขบถของคนบรัสเซลส์ อาจเพราะเป็นรูปปั้นที่อยู่รอดผ่านสงครามมานาน และมีความกวน แหกขนบธรรมเนียมเล็ก ๆ ส่วนเรื่องที่ว่าเด็กฉี่ดับไฟไม่ให้ไหม้ อันนี้เป็นแค่เรื่องแต่งเฉย ๆ นะครับ มีเรื่องแต่งแบบนี้หลาย ๆ เรื่องเกี่ยวกับรูปปั้นนี้

ส่วนเด็กหญิงกับหมานี่ไม่แน่ใจว่ามาไงเหมือนกันครับ แต่ตามหาให้ครบทั้งสามตัวก็สนุกดีครับ

Manneken Pis ของจริงเล็กนิดเดียวเองครับ
ฝูงชนที่มาดูรูปปั้น
Jeanneke Pis ตัวนี้อยู่ในซอยและอยู่ในกรง เห็นคนมุงดูเยอะ ๆ ก็รู้เองครับว่าถึงแล้ว
Zinneke Pis อันนี้ไกลสุด และมีคนสนใจน้อยที่สุด

.

ใกล้ ๆ กับเขตเมืองเก่า

สวน Mont des Arts

Mont des Arts นี่จริง ๆ เป็นพื้นที่ที่มีมิวเซียมหลาย ๆ แห่ง, ห้องสมุด, และสวนอยู่ ผมไปถึงเย็น ๆ ทันดูแค่สวนครับ

Place Royale (Royal Square)

เป็นจัตุรัสใกล้กับพระราชวัง Coudenberg เดิมก่อนจะถูกไฟไหม้ ตรงกลางคืออนุสาวรีย์ของ Godfrey of Bouillon ส่วนอาคารด้านหลังคือโบสถ์ Saint Jacques-sur-Coudenberg

Place Royale (Royal Square)

Royal Palace of Brussels

เนื่องจากไปถึงเย็นมากแล้ว เขาปิดแล้ว เลยไม่ได้เข้าไปครับ

Royal Palace of Brussels

Brussels Park

เป็นสวนสาธารณะใจกลางเมืองใหญ่ดีครับ เป็นที่ให้คนได้มาพักผ่อนหย่อนใจ ชิลดีนะครับ

Brussels Park

.

Parc du Cinquantenaire (Park of the Fiftieth Anniversary)

เป็นสวนที่สร้างมาฉลองการเป็นเอกราชครบ 50 ปี ของเบลเยี่ยม

ประตูชัยตรงกลางสวน จริง ๆ รอบ ๆ ก็มีอาคารต่าง ๆ ส่วนมากเป็นมิวเซียม
รูปปั้นด้านบน ไม่รู้หมายถึงอะไรบ้างเหมือนกันครับ

.

12 ส.ค. 61: Mini-Europe / มหาวิหารเซนต์มิคาเอลและเซนต์กูดูลา

Mini-Europe เป็นสวนที่จำลองสถานที่สำคัญ ๆ ในยุโรปมาให้เราได้ชม การย่อส่วนทำด้วยสเกล 1:25 มีเมืองกว่า 80 เมืองและสิ่งก่อสร้างกว่า 350 แห่งอยู่ในสวนนี้ โมเดลบางส่วนยังขยับได้

ส่วนตัวผมว่าก็น่ารักดี แต่วันนั้นแดดร้อนมาก และผมยังป่วยอยู่ เลยไม่ค่อยอินเท่าไหร่ครับ ถ้ามาตอนอากาศดี ๆ อาจจะชอบ

จัตุรัสกร็องปลัสจำลอง
อาคารรัฐสภาและหอนาฬิกา Big Ben แห่งลอนดอน
หอไอเฟลแห่งปารีส
ประตู Brandenburg Gate และกำแพงเบอร์ลิน
สระน้ำ Széchenyi Bath เพิ่งรู้เหมือนกันครับว่าใหญ่มากเลยนะ
Melk Abbey แห่งเวียนนา ใหญ่มากเช่นกัน
วิหาร Acropolis แห่งเอเธนส์

.

Atomium

Atomium เป็นส่ิงก่อสร้างที่สร้างขึ้นเพื่องาน World’s Fair ปี 1958 (เหตุผลการสร้างเหมือนหอไอเฟล) หลังจบงานก็ทำหน้าที่เป็นพิพิธภัณฑ์ต่อ

Atomium อยู่ติด Mini-Europe เลยครับ มีตั๋วร่วมด้วย แต่ผมไม่ได้เข้าไป

.

มหาวิหารเซนต์มิคาเอลและเซนต์กูดูลา (St Michael and St Gudula Cathedral)

เป็นมหาวิหารนิกายโรมันคาทอลิกประจำเมืองบรัสเซลส์แห่งหนึ่ง มีมาตั้งแต่ศตรวรรษที่ 9 แต่มาสร้างเพิ่มเยอะ ๆ ช่วงศตวรรษที่ 11-13 ใช้เวลากว่า 300 ปีในการก่อสร้างกว่าจะแล้วเสร็จ

เป็นโบสถ์โกทิคที่ผมว่าภายในสวยมาก ๆ โบสถ์หนึ่งเลยครับ
รูปปั้นสวยดี จำไม่ได้แล้วว่าคือรูปปั้นอะไร
ภายในมหาวิหาร
สวยดีครับ
ภายนอกก็สูงใหญ่มีความอลังการ

หลังจากนั้นผมก็หมดพลัง (แม้จะเพิ่งผ่านมาแค่ครึ่งวัน) กลับโรงแรมนอนพักผ่อนครับ

.

13 ส.ค. 61: บรูจส์

ออกจากโรงแรมแต่เช้าแล้วเดินทางต่อไปยังบรูจส์ครับ ผมซื้อตั๋วรถไฟล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว (จริง ๆ ไม่ซื้อก่อนก็น่าจะหาไม่ยาก และเขามีรถไฟค่อนข้างถี่)

บรูจส์เป็นเมืองที่เจริญมาก่อนบรัสเซลส์ มียุคทองในช่วงศตวรรษที่ 12-15 ในฐานะเมืองท่าสำคัญของยุโรปเหนือ แต่ต่อมาลดทอนความสำคัญลงเมื่อ เมืองอย่าง Antwerp มีท่าเรือที่ดีกว่า มาถึงศตวรรษที่ 16 บรูจส์เสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเมืองที่ยากจนที่สุดในเบลเยี่ยมในศตรวรรษที่ 19 ก่อนจะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในฐานะเมืองท่องเที่ยวในปัจจุบัน

บรรยากาศภายในเมือง สงบ ชิลมาก ๆ ครับ
อาคารสถานที่ก็มีความน่ารัก
สวย ชิล
ล่องเรือชมเมืองก็เป็นกิจกรรมยอดฮิตอย่างหนึ่ง
ขี่รถม้าในเมืองนี่ได้บรรยากาศเมืองโบราณมาก
บรรยากาศในเมือง

.

Onze-Lieve-Vrouwekerk (Church of Our Lady)

ถ้าเดินมาจากสถานีรถไฟ โบสถ์นี้น่าจะเป็นโบสถ์แรก ๆ ที่เราจะได้เจอครับ เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ตัวโบสถ์เข้าชมฟรีครับ แต่ไฮไลท์จริง ๆ คือมิวเซียมภายในโบสถ์ สิ่งที่เก็บไว้คือ งานแกะสลักหินอ่อน Madonna and Child ของไมเคลแองเจโล และเป็นที่ฝังศพของ Mary of Burgundy และ Charles the Bold (ไม่ทราบประวัติเขาเหมือนกันครับ)

มีหอคอยสูงมาก เด่นสะดุดตา ทำให้เดินมาเจอเป็นที่แรก ๆ
ภายในโบสถ์ก็สวยดีครับ
ที่ฝังศพของ Mary of Burgundy และ Charles the Bold

.

Sint-Salvatorskathedraal (Saint Saviour’s Cathedral)

เป็นโบสถ์ที่เดินผ่าน ไม่ทราบความสำคัญอะไรครับ แต่สวยดี

ภายนอกโบสถ์
ภายในสวยดีครับ
รูปปั้นบริเวณออร์แกน

.

Markt Square

จัตุรัสกลางประจำเมือง รอบ ๆ ก็จะมีอาคารหลาย ๆ แห่ง

ทางเดินไปยังจัตุรัสครับ สวยดีนะครับ
และแล้วก็มาถึงจัตุรัส
รูปปั้นของ Jan Breydel และ Pieter de Coninck ผู้นำในสงคราม Battle of the Golden Spurs ที่ชาวบ้านธรรมดารวมกันเอาชนะกองทัพฝรั่งเศสได้
ขวาสุดคือ Provincial Court ติดกันคือพิพิธภัณฑ์ Historium Bruges
Provincial Court เหมือนไม่ใช่มิวเซียม แต่ไม่รู้ใช้ทำอะไรเหมือนกันครับ
พิพิธภัณฑ์ Historium นี้ซื้อบัตรขึ้นไปชมวิวบนหอคอยได้ อันนี้เป็นวิวส่วนหนึ่ง

.

หอระฆัง (Belfry of Bruges)

เป็นหอคอยสูงบริเวณ Markt Square เราสามารถขึ้นไปชมวิวเมืองจากชั้นบนของหอคอยได้ (แต่รอนานพอสมควร ผมรออยู่ 1 ชม. ครึ่ง กว่าจะได้ขึ้น เพราะเขาจำกัดจำนวนคนที่อยู่บนหอคอย) ระหว่างทางจะพบ carillon (ผมไม่รู้จักเหมือนกันครับ) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้คีย์บอร์ดควบคุมเสียงของระฆังได้ บนนั้นมีระฆังกว่า 34 ตัว ผมโชคดีตอนขึ้นไประฆังดังพอดี เพราะดีครับ

ชั้นล่างของหอระฆัง ที่เห็นตรงบันไดคือคนรอขึ้น
ผมเดาว่านี่คือ Carillon
วิวจากด้านบนหอระฆัง
อีกมุมหนึ่งของเมือง

หลังจากนั้นผมก็เดินไปยังจัตุรัส Burg ที่มีอาคารล้อมรอบอีกหลายแห่ง

.

Basilica of the Holy Blood

Basilica แห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นที่เก็บรักษาผ้าที่มีพระโลหิตของพระเยซู ซึ่งมีผู้นำเข้ามายังบรูจส์ในช่วงสงครามครูเสดครั้งที่สอง

ภายใน basilica ชั้นบน สวยดีครับ
อันนี้แหละครับ Relic of the Precious Blood

.

ศาลากลางเมือง (City Hall)

ภายนอกของศาลากลางเมือง
ไฮไลท์คือห้องนี้แหละครับ the Gothic Hall มีภาพเขียนเกี่ยวกับความรุ่งเรืองในอดีตของเมือง
ผมลืมแล้วว่าห้องนี้ไว้ทำอะไร
ห้องเดียวกับภาพก่อนหน้า เหมือนจะเกี่ยวข้องกับการตัดสินคดีบางอย่าง

หลังจากนั้นก็ออกจาก Burg Square แล้วเดินกลับสถานีรถไฟครับ

.

Church of St Magdalene

ระหว่างทางเจอโบสถ์นี้ ข้างในแปลกดีครับเลยถ่ายรูปไว้

หรือเขากำลังมีงานแสดงศิลปะ ไม่แน่ใจครับ

.

หลังจากนั้นผมก็เดินทางกลับบรัสเซลส์ และเดินทางต่อไปยังอัมเตอร์ดัม ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. ก็ถึงปลายทางครับ รอบนี้ใช้บริการของ Dutch Railway ครับ

ก็จบแล้วสำหรับทริปเบลเยี่ยมนี้ เจอกันครั้งหน้าที่อัมสเตอร์ดัมครับ 🙂

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *