เที่ยวปารีส (Paris)

ทริปนี้เป็นหนึ่งในซีรีย์ 17 วันเที่ยวยุโรป 5 ประเทศ เป็นการเดินทางหลังเรียนจบ Health Informatics จากสวีเดนของผมเองครับ โดยปารีสเป็นเมืองแรกที่ผมไป ผมเดินทางวันที่ 7 ส.ค. 61 ไปถึงปารีสตอนเย็น ๆ จากนั้นอยู่ปารีสถึงวันที่ 11 ส.ค. จึงเดินทางต่อไปยังบรัสเซลส์ครับ

ความคิดเห็นต่อปารีสโดยรวม

  • หลังจบทริป ผมมีความรู้สึกทั้งบวกและลบต่อเมืองนี้ ความรู้สึกในแง่บวกก็คือเป็นเมืองที่สวยมาก ๆ นะครับ แค่ถนนหนทาง อาคารบ้านเรือนทั่ว ๆ ไปก็มีความอลังการเหนือเมืองอื่น ๆ ที่ผมเคยเห็นมา สิ่งก่อสร้างที่เป็น landmark ของเมืองยิ่งอลังการมาก ๆ มากแบบสต็อกโฮล์มกลายเป็นเมืองเล็ก ๆ ไปเลย ทำให้รู้สึกว่าสมัยก่อนฝรั่งเศสนี่คงยิ่งใหญ่พอควร
  • ปารีสเป็นศูนย์กลางความเจริญของภูมิภาคนี้มายาวนาน ศิลปวัฒนธรรม อาหารการกิน เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย การเมืองการปกครอง ฯลฯ ปารีสล้วนเป็นผู้นำเรื่องเหล่านี้ คนที่ศึกษาประวัติศาสตร์ หรือมีความสนใจในเรื่องดังกล่าวข้างต้น จึงมีความอินเป็นพิเศษเมื่อมาอยู่ที่ปารีส
  • แต่เนื่องจากความเจริญดังกล่าว ผู้คนมากมายจึงหลั่งไหลเข้ามา ทั้งชาวฝรั่งเศสเอง ผู้อพยพ รวมไปถึงนักท่องเที่ยว ซึ่งมันก็ส่งผลต่อเมือง ทำให้เมืองมีความหนาแน่นแออัด สกปรก (มีกลิ่นฉี่เป็นระยะ) สาธารณูปโภคต่าง ๆ ไม่สามารถบำรุงรักษาให้ทันความเสื่อมได้ ตัวอย่างที่เห็นชัดคือรถไฟใต้ดินซึ่งเก่า สกปรก เสียงดัง และไม่มีแอร์ (มีคันใหม่มาบ้าง แต่ไม่เยอะถ้าเทียบกับเมืองอื่น)
  • นักท่องเที่ยวจำนวนมากที่เข้ามาในเมือง จึงทำให้สถานที่ท่องเที่ยวทุกอย่างเต็มไปด้วยคิว ผมรอเข้านอเทรอดาม 1 ชม. แวร์ซายล์ 2 ชม. นี่คือแค่รอเข้าเฉย ๆ นะครับ คือเข้าไปถึงได้ก็เหนื่อยแล้ว พอเข้าไปยังเจอมวลมหานักท่องเที่ยวอย่างแออัด ก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่ได้ดีมาก แม้สถานที่นั่นจะสวยงามเพียงใด
  • และเนื่องจากความยิ่งใหญ่อลังการของสถานที่ต่าง ๆ เวลาไปไหนเราจะต้องเดินค่อนข้างไกล ทำให้เหนื่อย อีกอย่างคือพอเห็นความอลังการเข้าเยอะ ๆ มันก็มีความรู้สึกล้นบางอย่าง เหมือนกินบุฟเฟต์น่ะครับ อิ่มแล้ว กินอีกก็ไม่ได้อร่อยเท่าไหร่แล้ว
  • แต่โดยรวม ผมก็ยังรู้สึกว่าปารีสเป็นเมืองที่ควรมาสัมผัสซักครั้งนะครับ และผมเชื่อว่าการใช้เวลาในปารีสแค่ 3 วันของผม แถมยังไปแต่สถานที่ท่องเที่ยวดัง ๆ คงไม่ได้ทำให้ผมเข้าใจเมืองนี้แต่อย่างใด ไว้มีโอกาสมาเยื่อนใหม่ครับ


.

ทิปเล็กทิปน้อย

  • ถ้ามาเที่ยวสั้น ๆ และอยากเน้นเก็บสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ แนะนำอย่างยิ่งให้ซื้อ Paris Museum Pass นะครับ เดี๋ยวอธิบายเพิ่มเติมในหัวข้อถัดไปครับ
  • แม้เราจะมี Pass แต่ไม่ควรใช้ Pass นั้นในการไปแวร์ซายครับ เพราะเราเสียเวลาเดินทางไปเยอะ และ Pass ไม่สามารถให้เราลัดคิวเข้าได้ถ้าไม่ใช่ช่วยเปิดใหม่ ๆ (ผมไปถึง 10 โมงก็หมดสิทธิ์ลัดคิวแล้ว) เราจะเสียไปเลยเกือบวันกับแวร์ซาย ดังนั้นผมแนะนำให้ซื้อตั๋วออนไลน์พร้อมสิทธิ์ลัดคิวจากทางวังโดยตรงไปเลยครับ เอา Passไปใช้วันอื่น
  • เรื่อง Visite Pass จะมีแวร์ซายและสนามบิน (ทั้ง CDG และ Orly) ที่จะไม่อยู่ในโซน 1-3 ซึ่งเราต้องซื้อตั๋วแยกถ้าจะไปพวกนี้
  • พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์และพระราชวังแวร์ซาย มี Audioguide app ให้ดาวน์โหลดครับ ฟังประกอบการเที่ยวก็ช่วยให้เราเที่ยวได้สนุกขึ้น
  • Google Maps หลาย ๆ ทีก็ toxic โดยเฉพาะการบอกว่าต้องลงที่สถานีใดจึงจะใกล้ที่สุด ที่ผมโดนมีสองที่คือ มหาวิหารซาเคร-เกอร์และปอมปิดูเซ็นเตอร์
  • ปารีสเป็นเมืองที่มิจฉาชีพเยอะ อ่านพวกกลโกงพวกนี้จากในเน็ตไว้ก็ดีครับ ผมเจอกับตัวหลายอันเลย

.

Paris Museum Pass

ถ้ามาเที่ยวสั้น ๆ และอยากเน้นเก็บสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ แนะนำอย่างยิ่งให้ซื้อ Paris Museum Pass นะครับ คือมันจะชวนสับสนนิดนึงเพราะมี Paris Pass กับ Paris Museum Pass ผมเองซื้ออย่างแรกไป แต่ผมรู้สึกว่าผมควรจะซื้ออย่างหลัง

Paris Pass มันคือการจัดชุดของ 1) ParisMuseum Pass 2) Paris Attraction Pass 3) Paris Visite Pass (ก็คือเดินทาง unlimited ภายในโซน 1-3 ซึ่งก็เป็นโซนที่เราจะไปหลัก ๆ) ซึ่งสถานที่ที่เราอยากไปหลัก ๆ ประมาณ 90% มันอยู่ใน Museum Pass ครับ แต่ปัญหาก็คือถ้าเราซื้อ Paris Pass แบบ 3 วัน เราจะได้ Museum Pass มาแค่ 2 วัน (เพราะ Museum Pass มันมีแค่แบบ 2, 4, 6 วัน) ดังนั้นจะมี 1 วันที่เราไม่ค่อยได้ใช้ Pass หรือไม่ก็ใช้ให้มันหมด ๆ ทำให้ผมรู้สึกว่า ไหน ๆ Attraction Pass มันก็ไม่ค่อยได้ใช้ แทนที่เราจะซื้อ Paris Pass 3 วันราคา 165 ยูโร เราซื้อ Museum Pass 2 วัน ราคา 48 ยูโร กับ Visite Pass 3 วันราคา 26.65 ยูโร รวมเป็น 74.65 ยูโร ประหยัดไปได้ 90.35 ยูโร

อธิบายเพิ่มเติมคือ ตลอดทั้งทริปผมใช้ Attraction Pass เพียง 3 ครั้งเท่านั้นเองครับ คือ1) ตอนไปชิมไวน์ที่ Les Caves du Louvre 2) ตอนขึ้นตึก Montparnasse และ 3) ขึ้นรถ Hop-On Hop-Off ที่ผมว่าจำเป็นจริง ๆ ก็มีแค่ 2) นี่แหละครับ ซึ่งไปซื้อเอาหน้าตึกก็ได้ แต่อย่างไรก็ดี ลองเช็คดูในเว็บไซต์เขาได้ครับว่ามีอะไรที่เราอยากไปแต่ต้องใช้ Attraction Pass เท่านั้นหรือเปล่า

ข้อดีของ Museum Pass อีกอย่างคือมักให้เรามีสิทธิ์ลัดคิวได้ในหลาย ๆ สถานที่ ซึ่งประหยัดเวลาเราไปได้เยอะ อย่างพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์นี่ถ้าไม่มี Pass ก็คงได้รอเป็นชั่วโมงเหมือนกัน ข้อควรระวังคือ Pass พวกนี้ไม่ได้นับเป็นชั่วโมงเหมือนเมืองอื่น ๆ แต่ดันนับเป็นวัน ดังนั้นถ้าเราเปิดใช้ Pass ตอน 5 ทุ่ม พอถึงเที่ยงคืนก็คือถือว่าเราใช้ไปแล้วหนี่งวันเรียบร้อย ต้องวางแผนดี ๆ ครับ

ต่อไปก็จะเริ่มแนะนำสถานที่ต่าง ๆ ที่ผมไปมาในแต่ละวันนะครับ

.

7 ส.ค. 2561: ไปถึงปารีส และมหาวิหารซาเคร-เกอร์

ผมเดินทางด้วยสายการบิน AirFrance จากสต็อกโฮล์ม โดยรวมก็ประทับใจดีนะครับ มีพิซซ่าเบา ๆ เสิร์ฟกับเครื่องดื่มบนเครื่อง ไปถึงปารีสช่วงบ่ายแก่ ๆ จำได้ว่าวันนั้นอากาศร้อนมาก ๆ นั่งรถไฟ RER B จากสนามบิน CDG เข้าไปถึงโรงแรม รถไฟแน่นมากและไม่มีแอร์ นับเป็น first impression ที่ไม่ได้ดีนัก 😅

ในปารีสนี้ผมพักที่โฮสเทล Generator Paris ส่วนตัวคิดว่าเป็นโฮสเทลที่ดีได้มาตรฐานครับ อาคารใหม่สะอาด เตียงนอนมีปลั๊กไฟให้ มีม่านกั้นเป็นส่วนตัวพอสมควร ห้องน้ำรวมมีเพียงพอกับจำนวนแขก โฮสเทลมีร้านอาหารและบาร์ อาหารเช้าราคาและคุณภาพก็โอเคครับ มีวันนึงผมเปิด padlock แบบใส่รหัสที่ตัวเองใช้ล็อคช่องเก็บของไม่ได้ตอน 5 ทุ่ม เขาก็มีบริการตัด padlock ให้ด้วย

เมื่อเก็บของเข้าโรงแรมเรียบร้อย ก็เข้าเมืองไปเอา Paris Pass ที่ผมซื้อไว้ครับ ผมซื้อออนไลน์แต่เลือกไปรับด้วยตนเอง ไปถึงคิวยาวมาก แอบลุ้นเพราะเห็นบอกว่าปิด 6 โมงครึ่ง สุดท้ายเขาก็เลื่อนเวลาปิดและผมก็ได้ Pass มา (แต่ยังไม่ใช้ รอใช้วันถัดไป)

เดินเล่นไปแถว ๆ นั้น เจอ Palais Royal มีงาน art installation Les Deux Plateaux ของ Daniel Buren คนไปเล่นกันเยอะเลยครับ

.

มหาวิหารซาเคร-เกอร์ (The Basilica of the Sacred Heart of Paris, Sacré-Cœur)

หลังจากนั้นผมก็เดินทางไปยังมหาวิหารซาเคร-เกอร์ (The Basilica of the Sacred Heart of Paris, Sacré-Cœur) ไปถึงก็สองทุ่มกว่า ๆ แล้ว จริง ๆ ย่านมงมาร์ตนี่ผมว่าน่าสนใจนะครับ มีศิลปินมาวาดภาพเหมือนเยอะเลย เสียดายไม่มีเวลาดู

ไปถึงได้ไม่นานก็ตะวันตกดิน ที่เห็นคนอยู่บันไดเยอะ ๆ นี่ก็คือมารอดูพระอาทิตย์ตกกันนี่แหละครับ เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่เป็นที่นิยมของปารีส
มหาวิหารนี้เข้าชมฟรีครับ แต่ต้องให้เขาตรวจกระเป๋าก่อนถึงเข้าได้ เข้ามาข้างในแล้วก็สวยดีครับ แต่ว่าคนเยอะมาก
ชมวิวเมืองปารีสจากมหาวิหารซาเคร-เกอร์
อันนี้ถ่ายจากโฮสเทลผมเองครับ มหาวิหารตั้งอยู่บนเนินเขา มองเห็นได้จากหลายแห่งในปารีส

.

8 ส.ค. 2561: นอเทรอดาม / แซ็งต์-ชาแปล / แพนธีออน / ชิมไวน์ / ลูฟวร์

มหาวิหารนอเทรอดาม (Notre Dame Cathedral)

เริ่มวันด้วยการไปที่มหาวิหารนอเทรอดาม (Notre Dame Cathedral) มหาวิหารชื่อดังที่ใครมาปารีสก็คงต้องมาเยือน (แต่เข้าไปข้างในหรือเปล่านี่อยู่ที่ว่าจะทนรอไหวไหม) เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 มหาวิหารนี้เข้าชมฟรี แต่ต้องผ่านการตรวจกระเป๋าก่อน ซึ่งถ้าไปถึงช่วง 11 โมงแบบผมนี่ กว่าจะได้เข้าก็เป็นชั่วโมงเลยครับ

ลองดูมวลมหานักท่องเที่ยวที่รอเข้าชมครับ
แต่เป็นโบสถ์ที่สวยดีนะครับ
จริง ๆ รายละเอียดทุกอย่างมีเรื่องราวอยู่ในนั้น แต่ผมลืมหมดแล้ว
ภายในมหาวิหารครับ มีความขลังบางอย่าง
กำลังมีพิธีบางอย่างอยู่วันนั้น

.

โบสถ์น้อยแซ็งต์-ชาแปล (Sainte-Chapelle)

ไม่ไกลจากนอเทรอดามก็จะเป็นโบสถ์น้อยแซ็งต์-ชาแปล (Sainte-Chapelle) เป็นชาเปลโรมันคาทอลิกเก่าแก่เช่นกัน สร้างในศตวรรษที่ 13 เป็นโบสถ์ที่โดดเด่นที่งานกระจกสี (Stained glass) ใบใหญ่สูง 15 เมตร จำนวน 15 ใบ ภาพในกระจกเล่าเรื่องราวภายในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่

ค่าเข้าชม 10 ยูโร แต่มี Museum Pass เข้าฟรีครับ

เพดานของชาเปลชั้นล่าง สวยงามครับ
ขึ้นบันไดมาจะเจอกับชาเปลชั้นบน สวยงามมาก ๆ ครับ
อีกมุมหนึ่ง

.

Conciergerie

เดินออกมาจากชาเปล เจอ Conciergerie ก็เลยแวะซะหน่อยครับ เป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างมาตั้งแต่ยุคกลาง เดิมเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวัง แต่ต่อมามีการย้ายวัง ที่นี่จึงกลายเป็นที่อยู่ของผู้ดูแลพระราชวังแทนพระองค์ (Concierge) และได้ปรับให้ใช้เป็นคุกในเวลาต่อมา โดยเฉพาะช่วงปฏิวัติฝรั่งเศสที่คณะปฏิวัติใช้เป็นที่คุมขังและรอการประหารชีวิตของนักโทษกว่า 40,000 คน หนึ่งในนั้นคือพระนางมารี อ็องตัวแน็ต (Marie Antoinette) ราชินีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16

ค่าเข้าชม 9 ยูโร แต่มี Museum Pass เข้าฟรีครับ

ชั้่นล่างของ Conciergerie ไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าทำไมถึงทำเป็นทางน้ำไหลแบบในภาพ
เหมือนจะเป็นห้องผู้คุม
มองจากภายนอกก็เป็นอาคารที่สวยดีครับ สมกับเป็นวังมาก่อน

.

แพนธีออน (Panthéon)

หลังจากนั้นก็ไปต่อกันที่แพนธีออน (Panthéon) เป็นอาคารนีโอคลาสสิกที่สร้างตามแพนธีออนในโรม จริง ๆ ตอนแรกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นโบสถ์ของคริสตศาสนา แต่ต่อมาในยุคปฏิวัติฝรั่งเศสได้รับการเปลี่ยนให้เป็นสถานที่ฝังศพบุคคลสำคัญของฝรั่งเศส ตัวอย่างบุคคลที่ได้รับการฝังที่นี่ก็เช่น Voltaire,  Jean-Jacques Rousseau, Victor Hugo, Marie และ Pierre Curie

ค่าเข้าชม 9 ยูโร แต่มี Museum Pass เข้าฟรีครับ

แพนธีออน มองจากภายนอก
ข้างในสวยโอ่อ่าอลังการมากครับ
มีจิตรและประติมากรรมมากมายในนั้น ผมไม่ได้ดูรายละเอียดทั้งหมด แต่หลาย ๆ ชิ้นเกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิเสรีภาพ และการปฏิวัติ
รูปปั้นนี้เด่นที่สุดแล้วครับ ตรงกลางคือ Marianne (สัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส เราจะเห็นเธอได้ในงานหลาย ๆ ชิ้น) ทหาร และคณะ National Convention
รูปปั้นและที่ฝังศพของ Voltaire

.

ชิมไวน์ที่ Les Caves du Louvre

Les Caves du Louvre แต่เดิมเป็นที่เก็บไวน์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 มีทางใต้ดินส่งไวน์เข้าไปยังพระราชวังลูฟวร์ ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับไวน์ในฝรั่งเศส ผมได้เข้าร่วมไกด์ทัวร์ของเขา เขาก็จะอธิบายเรื่องทำไมไวน์จากที่ต่าง ๆ ถึงมีรสชาติต่างกัน และมีไวน์ให้ชิม 3 แก้ว ส่วนตัวก็คิดว่าโอเคนะครับ ถ้าคนที่อินกับไวน์น่าจะชอบ

ค่าเข้าร่วมทัวร์ 32 ยูโร แต่มี Attraction Pass เข้าร่วมฟรีครับ (ต้องนัดก่อน) ที่นี่เป็นที่แรกที่ผมได้ใช้ Attraction Pass

ห้องหนึ่งในนั้นครับ อธิบายเรื่องสีขวดไวน์

.

พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Musée du Louvre)

และก็มาถึงไฮไลท์ของวันนี้ครับ พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์นั้นเดิมเคยเป็นพระราชวังมาก่อน ต่อมาหลังผ่านอะไรมามากมาย ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ใหญ่ที่สุดและมีผู้เข้าชมมากที่สุดในโลก มีงานศิลปะทั้งจิตรกรรมและประติมากรรมจากพื้นที่ต่าง ๆ ในโลกเก็บสะสมอยู่กว่า 30,000 ชิ้น

คำแนะนำเบื้องต้นสำหรับการมาลูฟวร์นะครับ เนื่องจากพิพิธภัณฑ์นั้นใหญ่มาก ๆ มากระดับที่ว่าถ้าค่อย ๆ ดูงานทีละชิ้นไปเรื่อย ๆ นี่ผมว่ามีเวลาทั้งวันก็ไม่พอ ดังนั้นแนะนำว่าให้วางแผนมาก่อนว่าจะมาดูอะไรที่ลูฟวร์บ้าง และก็ดูไปตามนั้น ที่เหลือก็ดูผ่าน ๆ ทางพิพิธภัณฑ์มี Audioguide app ให้เราโหลดได้ฟรีครับ (แต่เสียเงินค่า in-app purchase ไกด์) ก็ฟังไปตามนั้น

สำหรับผู้ที่ไม่มี Museum Pass มีคนแนะนำว่าอย่าไปเข้าตรงพิระมิดกระจก เพราะคิวจะยาวมาก ให้ไปเข้าอีกทาง ผมไม่เห็นเหมือนกันครับว่าอยู่ตรงไหน แต่เป็นทิปนำมาฝากกันครับ

ค่าเข้าชม 15 ยูโร แต่มี Museum Pass เข้าฟรีครับ

อาคารมีหลัก ๆ สามปีก (Wings) ในภาพนี้คือถ่ายปีกหนึ่งจากอีกปีกหนึ่ง จะเห็นว่าแค่ปีกเดียวก็ใหญ่มาก ๆ แล้วครับ
พีระมิดแก้วแห่งลูฟวร์ ยามเย็น
แม้เลยเวลาพิพิธภัณฑ์ปิดไปแล้ว ผู้คนจะยังวนเวียนรอบ ๆ พีระมิดแก้วเพื่อถ่ายรูป ท่ายอดฮิตคือยืนบนแท่นแล้วทำอะไรบางอย่างกับยอดพีระมิด
บรรยากาศภายในลูฟวร์ งานสวย ๆ เยอะมาก ๆ แล้วมีห้องแบบนี้หลาย ๆ ห้อง
บรรยากาศภายในลูฟวร์
เหล่าฝูงชนที่มารอชื่นชมโมนาลิซา (Mona Lisa) น่าจะเป็นภาพที่ popular ที่สุดแล้วในลูฟวร์
ภาพนี้คือภาพที่ผมชอบที่สุด Liberty Leading the People โดย Eugène Delacroix ดูแล้วมีความฮึกเหิมบางอย่าง
The Coronation of Napoleon โดย Jacques-Louis David ภาพนี้ก็มีเรื่องราวที่สนุกดีครับ
The Victory of Samothrace
อันนี้เป็นเพดานห้อง The Galerie d’Apollon ซึ่งผมว่าสวยมาก ๆ
The Valpinçon Bather โดย Jean Auguste Dominique Ingres
The Story of Alexander โดย Charles Le Brun
The Cheat with the Ace of Diamonds โดย Georges de La Tour

.

9 ส.ค. 2561: แวร์ซาย / ปอมปิดูเซ็นเตอร์

พระราชวังแวร์ซาย (Château de Versailles)

พระราชวังแวร์ซายสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่ฝรั่งเศสเจริญรุ่งเรืองมาก (ก่อนจะประสบปัญหาเศรษฐกิจจากหลายปัจจัยจนนำไปสู่การปฏิวัติฝรั่งเศสในเวลาต่อมา) พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 อยากได้วังที่หลีกหลีความแออัดของปารีสและใช้เป็นศูนย์กลางการปกครองของพระองค์ จึงได้สร้างวังขึ้นมา ต่อมาหลังการปฏิวัติ จักรพรรดินโปเลียนเองก็มาพักที่วังแห่งนี้เหมือนกัน จนมาเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ในปัจจุบัน

เป็นวังที่มีความอลังการงานสร้างมาก มีความวิจิตรอลังการในทุกส่วน มีภาพเขียนประดับในทุกห้อง ทางวังมี Audioguide app ให้ดาวน์โหลดได้ฟรีเช่นกัน

ค่าเข้าชม 20 ยูโร แต่มี Museum Pass เข้าฟรีครับ (แวร์ซายมีตั๋วหลายประเภทมาสำหรับการเข้าชมแบบต่าง ๆ ลองดูรายละเอียดในเว็บไซต์ครับ)

พระตำหนักหลัก วันนั้นฝนตกปรอย ๆ อากาศหนาวนิด ๆ ยืนรอเข้าชมจากข้างนอกอยู่ 2 ชม.
ทุกห้องก็เป็นคล้าย ๆ แบบนี้ครับ สวยทุกห้อง มีเรื่องราวทุกห้อง
อันนี้เหมือนจะเป็น Mars Salon ห้องฉลองชัยชนะจากสงคราม
เพดานของ Apollo Salon
Hall of Mirrors สมัยนั้นกระจกเป็นสิ่งที่มีราคาแพง การสร้างห้องที่เต็มไปด้วยกระจกแบบนี้จึงเป็นการบ่งบอกฐานะ
Hall of Mirrors ยังเป็นห้องที่ใช้เซ็นต์สัญญาสงบศึกของสงครามโลกครั้งที่ 1
สวยดีครับ
Museum of the History of France รวบรวมภาพเขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสตั้งแต่สมัยก่อตั้งชาติ
นอกจากตำหนักหลักแล้ว วังยังมีตำหนักย่อย ๆ อีกหลายแห่ง และมีสวนที่ใหญ่มาก ๆ ผมไม่ได้ดูละเอียดเหมือนกันครับเพราะต้องกลับแล้ว

.

ปอมปิดูเซ็นเตอร์ (Centre Georges Pompidou)

ปอมปิดูเซ็นเตอร์เป็นอาคารที่มีหลาย ๆ หน่วยงานอยู่ในนั้น แต่ที่ได้รับความสนใจที่สุดน่าจะเป็น Musée National d’Art Moderne หรือพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่แห่งชาติ อาคารแห่งนี้สร้างในสมัยประธานาธิบดีจอร์จ ปอมปิดู ซึ่งเป็นผู้ที่สนใจในศิลปะสมัยใหม่ ก็เลยได้ชื่อตามเขาครับ จริง ๆ มี Audioguide app ให้โหลดเหมือนกัน แต่เห็นคะแนนรีวิวแย่มาก ผมเลยไม่ได้โหลดครับ

ค่าเข้าชม 14 ยูโร แต่มี Museum Pass เข้าฟรีครับ

เป็นอาคารที่ออกแบบได้น่าสนใจดีนะครับ มีบันไดเลื่อนนอกอาคารครับ ขึ้นไปชมวิวไป
ชั้นล่างสุด
งานที่น่าสนใจในปอมปิดูเซ็นเตอร์
งานที่น่าสนใจในปอมปิดูเซ็นเตอร์
งานที่น่าสนใจในปอมปิดูเซ็นเตอร์
ชิ้นนี้จริง ๆ ดังมากนะครับ ออกแนวต้นแบบของยุค Minimalism (จำชื่อไม่ได้)
อันนี้ผมว่าล่ำดี
ไอเดียดีครับ
อันนี้เริ่มออกแนว installation art
อันนี้ก็คลาสสิค

.

10 ส.ค. 2561: หอไอเฟล / โรงละครโอเปร่า / ถนนช็องเซลีเซ

หอไอเฟล (Eiffel Tower)

มาปารีสก็หลายวัน ไม่มีโอกาสเห็นหอไอเฟลซักที่ ในที่สุดวันนี้ก็ได้มาเห็นครับ 😆 หอไอเฟลนี่จริง ๆ สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของงาน World’s Fair ปี 1889 ที่จัดที่ปารีส ต่อมาช่วงปี 50s จึงเพิ่มเสาส่งสัญญาณวิทยุ แรกเริ่มเดิมที ชาวปารีสบางส่วนก็ไม่ค่อยชอบหอไอเฟลนี้เท่าไหร่ครับ บอกไม่สวย แต่ต่อมากลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของปารีสและดึงดูดนักท่องเที่ยวมากมาย

ถ้าจะขึ้นไปถึงชั้นบนสุดต้องเสียค่าเข้าชม 19-25 ยูโร (ขึ้นกับบันไดหรือลิฟท์) ผมเองไม่ได้ขึ้นเหมือนกันครับ

โชคดีวันนั้นอากาศปลอดโปร่ง ฟ้าใสสวยงาม
ซูมให้เห็นรายละเอียดของหอไอเฟลบริเวณจุดชมวิวชั้น 2
อีกจุดหนึ่งที่ชมวิวหอไอเฟนได้สวยคือข้ามแม่น้ำ Seine มายัง Palais de Chaillot ครับ
ถ้ามาทางสถานี Bir-Hakeim อย่าลืมแวะสะพาน Pont de Bir-Hakeim หลาย ๆ คนอาจจำสะพานนี้ได้จากหนัง Inception ของคริสโตเฟอร์ โนแลน

.

โรงละครโอเปร่า (Palais Garnier)

ก็คือ Opera House ของปารีสแหละครับ ราคาค่าเข้าชม 11 ยูโร จริง ๆ ใน Attraction Pass มีไกด์ทัวร์ที่นี่ฟรีนะครับ แต่ต้องจองล่วงหน้า พอไปถึงเขาบอกเต็มแล้ว convert เป็นตั๋วแบบ independent visit ก็ไม่ได้ ก็เลยต้องซื้อตั๋วอยู่ดี

The Golden Room ห้องนี้เป็นห้องที่ผมว่าสวยมาก ๆ สวยกว่าแวร์ซายซะอีก
Grand Stairway ซึ่งเป็นทางขึ้นไปยัง auditorium สวยดีครับ
Auditorium สวยมาก อยากลองมาดูการแสดงที่นี่ซักครั้ง
มองจากภายนอกครับ รถสีขาวนี่จอดนานมากไม่ออกซักทีเลยถ่ายมาเลย

.

ถนนช็องเซลีเซ (Champs-Élysées)

เป็นถนนที่ยาวตั้งแต่จัตุรัสชาร์ล เดอ โกล ซึ่งเป็นที่ตั้งของประตูชัยฝรั่งเศส (Arc de Triomphe) ไปจนถึง Place de la Concorde และสวนตุยเลอรี เป็นถนนที่ได้รับการยกย่องว่าสวยอันดับต้น ๆ ของโลก เป็นต้นแบบของถนนราชดำเนินของไทย มีร้านค้าแบรนด์เนมมากมายเปิดอยู่สองข้างทาง

Arc de Triomphe สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 หลังชนะสงครามซักอย่าง จริง ๆ ขึ้นไปได้นะครับ ไม่ได้ขึ้นไปเหมือนกัน
ถนนช็องเซลีเซ สวยมากครับ
บรรยากาศริมถนน
คนต่อคิวเข้าซื้อกระเป๋า
Place de la Concorde จุดที่เคยเป็นที่ตั้งของกิโยตินประหารพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารี อ็องตัวแน็ต
จากสวนตุยเลอรีมองไปยังถนนช็องเซลีเซ
สวนตุยเลอรีครับ ผมไม่ได้เข้าไปลึก ๆ เหมือนกัน

.

ชมวิวปารีสที่ Montparnasse Tower

ช่วงเย็น ผมขึ้นไปชมวิวเมืองต่อที่ตึก Montparnasse ครับ ค่าเข้าชม 18 ยูโร แต่ว่ามี Attraction Pass จึงเข้าฟรีครับ ผมอยู่ที่นี่ยาวจน 4 ทุ่มที่หอไอเฟลมีการจัดแสดงไฟ แล้วจึงกลับลงไปครับ

สวยงามมากครับ จุดชมวิวนี้

.

11 ส.ค. 2561: เดินทางไปบรัสเซลส์

วันนี้ตื่นเช้ามาก็เดินทางไปสถานีรถไฟ Gare du Nord แล้วก็ต่อรถไฟไปบรัสเซลส์ครับ ตั๋วรถไฟผมซื้อออนไลน์ล่วงหน้าไว้แล้ว เดินทางกับ Izy ครับ โดยรวมก็ปกติดีครับ แต่ระวังเรื่องขนาดกระเป๋านะครับ ตอนแรกผมไม่รู้ว่ารถไฟก็มีจำกัดขนาดกระเป๋าแบบนี้ด้วย โชคดีที่อ่านเจอทันก็เลยซื้อไว้ล่วงหน้า (แต่ก็แพงกว่าซื้อเลยตอนซื้อตั๋วอยู่ดี) ไม่งั้นต้องจ่ายแพงมาก

Gare du Nord สถานีรถไฟที่ได้ชื่อว่าวุ่นวายที่สุดในยุโรปครับ

.

ก็จบแล้วนะครับสำหรับทริปปารีสนี้ เจอกันครั้งหน้าที่เบลเยี่ยมครับ 🙂

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *