เที่ยวอิตาลี 11 วัน – ตอนที่ 1: โรม

หลังจากจบทริปที่ออสโลเมื่อปลายเดือนสิงหาคม แวะพักที่สต็อกโฮล์มเล็กน้อย ผมก็เริ่มทริปอิตาลีในวันที่ 16 ก.ย. ครับ เริ่มต้นที่กรุงโรม จากนั้นต่อไปยังฟลอเรนซ์, ปิซ่า, ชิงเคว เทเร, เวนิส, และจบที่มิลานครับ ก็มาเริ่มกันเลยที่โรมนะครับ

ความคิดเห็นต่อทริปโดยรวม

  • จุดเด่นของกรุงโรมก็คงเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยงานประติมากรรมกลางแจ้งสวย ๆ สไตล์คลาสสิคให้เราดูมากมายได้ฟรี ๆ มีโบสถ์สวย ๆ เยอะมากเช่นกัน เดินลัดเลาะไปตามถนน ผ่านจัตุรัส (Piazza) ต่าง ๆ ดูเมืองดูคนไปเรื่อย ก็เป็นประสบการณ์ที่ unique ดีครับ
  • จุดเด่นอีกอย่างก็คือความขลัง คือเราก็รู้กันว่ากรุงโรมนั้นอยู่มาตั้งแต่ก่อนคริสตกาล เวลาเราเห็นสิ่งปลูกสร้างหรือรูปปั้นต่าง ๆ จากสมัยโบราณ มันเลยมีความขลังบางอย่าง
  • ปัญหาคือ แม้จะกลางเดือนก.ย.แล้ว แต่อากาศในโรมก็ยังร้อนมาก ๆ อยู่เลยครับ (ราว 32 องศา) ความคิดว่าจะไปเดินชิล ๆ  รับอากาศดี ๆ ในเมืองสวย ๆ ก็เลยพังไปเล็กน้อย แต่ปีนี้ที่ยุโรปโดน heat wave โจมตี ถ้าปีอื่น ๆ อาจไม่ร้อนขนาดนี้ ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในโรมมันก็เป็นแนวสิ่งปลูกสร้างเป็นหลักอยู่แล้ว จริง ๆ มาหน้าหนาวยังได้เลยครับ
  • จำนวนนักท่องเที่ยวก็มากมายมหาศาล (นี่ขนาดพ้นหน้าร้อนแล้ว) ถ้ามีอะไรที่ให้เราลัดคิวได้แนะนำให้ซื้อครับ
  • ค่าครองชีพที่เขาบอกว่าถูกกัน ไปจริงก็ไม่ได้ถูกเท่าไหร่นะครับ (แต่ก็ถูกกว่ายุโรปตะวันตกและสแกนแล้ว) ข้าวก็ตกจานละ 15 ยูโร ถ้าไม่กินแต่พวก First dish อย่างพิซซ่าหรือพาสต้า ซึ่งมีแต่แป้งกับซอส
  • เรื่องมิจฉาชีพ ส่วนตัวก็เจอแต่พวกมาแบบธรรมดา ๆ ทริคมาตรฐานที่อ่านเจอทั่วไป ไม่ถึงกับว่ามาล้วงกระเป๋า วิ่งราว จี้ปล้น อะไรแบบนั้น

ทิปเล็กทิปน้อย

  • ทริปนี้พวกผมซื้อ Roma Pass แบบ 72 ชม. ราคา 38.5 ยูโร ซึ่งจะให้เราเข้าสถานที่ท่องเที่ยวหลาย ๆ อย่างได้ฟรี 2 ที่แรก ซึ่งจริง ๆ เป็นเงื่อนไขที่ทำให้การวางแผนยุ่งยากเล็กน้อย เพราะเราก็อยากเอาไปใช้กับที่แพง ๆ หรือคิวเยอะ ๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็จะเลือกโคลอสเซียมและหอศิลป์บอร์เกเซ ถ้าเราวางแผนจะไปโคลอสเซียมวันอื่น ก็แปลว่าเราจะใช้บัตรเข้าสถานที่ไม่ได้เลยในวันแรก
  • อย่างไรก็ดี ถ้าได้มาเห็นจำนวนคิวที่รอเข้าโคลอสเซียม ก็จะรู้สึกว่าคุ้มแล้วครับที่ซื้อมา
  • ถ้าจะไปหอศิลป์บอร์เกเซต้องจองล่วงหน้าไปก่อนนะครับ พวกผมก็จองแล้ว แต่ไปไม่ทันครับ เลยอดเลย ฮ่า ๆ
  • ส่วนวาติกัน ผมซื้อบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์วาติกันไว้ล่วงหน้า ก็ใช้ลัดคิวเข้าได้เลยครับ อันนี้ก็ควรซื้อเพราะคนรอเข้าเยอะมาก ส่วนมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์นี่เข้าฟรีครับ ไม่แน่ใจว่ามีบริการลัดคิวหรือเปล่า (เดาว่าน่าจะมี) ผมไม่ได้ซื้อเลยรอไปชั่วโมงกว่า ๆ ครับ
  • ตอนเดินทางต่อไปฟลอเรนซ์ เราเลือกใช้รถไฟของ Italo ครับ เพราะราคาถูกกว่า Trenitalia พอสมควร คุณภาพผมว่าก็โอเคดีนะครับ ไม่ต่างกันกัน อย่างไรลองเช็คดูนะครับ
  • โบราณสถานในโรม มักจะมีคำว่า Forum อยู่ เช่น Roman Forum, Trajan Forum คือคำว่า Forum นี่จริง ๆ ก็คือ Town square แหละครับ ก็คือ Piazza ในสมัยโบราณนั่นเอง

.

รีวิวที่พัก

ที่โรมนี้ พวกผมพักกันที่ Orange Suite ครับ เป็น B&B ตั้งอยู่บริเวณถนน Via Condotti ใกล้บันไดสเปน ซึ่งย่านนี้เป็นย่านถนนช้อปปิ้งเต็มไปด้วยร้านค้าแบรนด์เนมครับ โรงแรมอยู่ห่างจากสถานีเมโทรประมาณ 700 เมตร ก็ไปไหนมาไหนสะดวกดีครับ ห้องพักก็สะอาดและสวยดีครับ ข้อเสียเท่าที่พบคือส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบอาหารเช้าเท่าไหร่ คือเขาใช้ระบบให้เราติ๊กในกระดาษว่าจะเอาอะไรบ้าง แล้วตอนเช้าเขาก็จะมาเสิร์ฟให้ ไม่ได้เป็นบุฟเฟต์ แถมมีแต่ขนมปังไม่มีแฮม ก็เลยไม่ค่อยอิ่มครับ แต่โดยรวมก็ประทับใจครับ

.

16 ก.ย. 61: บันไดสเปน (Spanish Steps), น้ำพุเทรวี่ (Trevi Fountain)

วันนี้เป็นวันที่เราเดินทางมาถึงครับ กว่าจะเข้าเมืองจากสนามบิน กว่าจะพักผ่อนแล้วออกมาก็บ่ายแก่ ๆ แล้ว ก็เลยได้แค่เที่ยวบริเวณรอบ ๆ โรงแรมครับ จริง ๆ ว่าจะไปหอศิลป์บอร์เกเซด้วย แต่วันนี้เป็นวันพิเศษทำให้รถบัสวิ่งไม่เหมือนปกติ ก็เลยพลาดคันที่จะไปรอบที่เราต้องไปครับ เลยอดเลย

อันนี้ก็คือถนน Via Condotti ย่านช็อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมครับ มองเห็นบันไดสเปนอยู่ลิบ ๆ
ตั้งอยู่ที่ Piazza di Spagna ที่ได้ชื่อนี้เพราะอยู่ใกล้สถานทูตสเปน เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนชาวโรม
ขึ้นมาด้านบนจะเจอกับโบสถ์ Trinità dei Monti
รูปปั้นภายในนั้น เข้าใจว่าคือฉากพระเยซูลงจากไม้กางเขน
บรรยากาศบริเวณ Piazza di Spagna
ระหว่างทางผ่าน Basilica di Sant’Andrea delle Fratte เลยแวะเข้าไปดูครับ สวยดีครับ
และก็เดินมาถึงน้ำพุเทรวี่ สวยดีนะครับ
เดินกลับไปทางโรมแรม เจอคนมารอชมพระอาทิตย์ตกที่บันไดสเปนเยอะแยะเลยครับ

.

16 ก.ย. 61: Piazza Navona, แพนธีออน, โคลอสเซียม, โรมันฟอรั่ม

วันนี้เป็นการเที่ยวเต็มวันวันแรก เน้นตะลุยโบราณสถานต่าง ๆ เริ่มกันเลยครับ

บรรยากาศแถวที่พัก มีความอิตาลีมาก ๆ อธิบายไม่ถูกครับ 55

ก่อนจะไปที่อื่น เราแวะไปดูปราสาท Castel Sant’Angelo กันก่อนครับ พอดีอยู่ใกล้ที่พักและสวยดี สร้างโดยกษัตริย์เฮเดรียนในสมัยโรมัน ต่อมากลายเป็นป้อม และก็เป็นพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบัน เห็นคนรีวิวบอกข้างในไม่ได้มีอะไรเท่าไหร่เลยไม่ได้เข้าไปครับ

สวยดีครับ มองไปจากริมน้ำ ผมจำปราสาทนี้ได้ตั้งแต่สมัยเล่น Assassin’s Creed Brotherhood

.

Piazza Navona

เดินต่อมาเรื่อย ๆ จนมาถึง Piazza Navona ครับ ตรงกลางเป็นเสาโอเบลิสก์ ส่วนปลายของจัตุรัสสองด้านจะมีน้ำพุอยู่ด้านละอัน

ตรงกลางคือเสาโอเบสิสก์โรมันโบราณ ตั้งอยู่บนน้ำพุ Fountain of the Four Rivers ฝีมือการแกะสลักของแบร์นีนี เล่าถึงแม่น้ำ 4 สายจาก 4 ทวีป
ฝั่งเหนือมีน้ำพุรูปเทพเจ้าเนปจูน (Fountain of Neptune) กำลังสู้กับปลาหมึก
ด้านใต้เป็นรูปปั้นแขกมัวร์กำลังกอดรัดกัลปลาโลมา ล้อมรอบด้วยเทพไทรทัน 4 องค์

.

วิหารแพนธีออน (Pantheon)

เดินต่อไปไม่ไกลก็จะมาถึงวิหารแพนธีออนครับ

เป็นสิ่งปลูกสร้างสมัยโรมันโบราณที่สร้างเพื่อเป็นที่สิงสถิตของเทพเจ้า ปัจจุบันใช้เป็นโบสถ์
ภายในวิหารแพนธีออน คือถ้าเทียบในแง่ความงามกับที่ปารีสก็สู้ไม่ได้แหละครับ แต่ในแง่ความขลังนี่ชนะ
วิหารแพนธีออน มองจากภายนอก

.

โบสถ์ Santa Maria sopra Minerva

ไม่ไกลจากแพนธีออน คือโบสถ์ Santa Maria sopra Minerva เลยแวะเข้าไปดูหน่อยครับ
ภายในโบสถ์ Santa Maria sopra Minerva สวยดีครับ
แสงส่องลงมาพอดี

.

Altar of the Fatherland

จากนั้นก็เดินต่อไปเรื่อย ๆ จนไปถึง Altar of the Fatherland ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ของพระเจ้าวิตโตริโอ เอมานูเอลที่ 2 (Vittorio Emmanuel II) ซึ่งเป็นผู้ที่รวมชาติอิตาลีสำเร็จจนเป็นอิตาลีแบบทุกวันนี้ คือก่อนหน้าศตวรรษที่ 19 อิตาลีเป็นดินแดนที่มีรัฐเล็ก ๆ หลายรัฐปกครองอยู่ คล้าย ๆ เยอรมันแหละครับ สนใจอ่านเพิ่มเติมลองเสิร์ชเรื่อง Italian unification ดูครับ

เป็นอนุสาวรีย์ที่สวยมากครับ จริง ๆ เป็นอาคารที่เข้าได้ มีจุดชมวิวโรมันฟอรั่มด้านบน และเหมือนจะมีพิพิธภัณฑ์ด้วย แต่พวกผมไม่ได้เข้าครับ
ทหารที่เฝ้าอยู่ จริง ๆ โรมนี่เป็นเมืองที่มีทหารในเมืองเยอะมากนะครับ สงสัยกลัวก่อการร้าย
รูปสลักด้านบน สวยดีครับ
อนุสาวรีย์พระเจ้าวิตโตริโอ เอมานูเองที่ 2

.

ทราจันฟอรั่ม (Trajan Forum)

ไม่ไกลจาก Altar of the Fatherland ก็จะเป็นโบราณสถานทราจันฟอรั่ม (Trajan Forum) ของกษัตริย์ทราจัน ซึ่งจะมีเสาทราจัน (Trajan’s Column) ตั้งอยู่ เป็นเสาสูงหลาย ๆ ต้น สร้างขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะของกษัตริย์ทราจันต่ออาณาจักรดาเซีย (ประเทศโรมาเนียในปัจจุบัน)

ทราจันฟอรั่ม
เสาทราจัน รูปปั้นด้านบนหายไป ปัจจุบันเลยกลายเป็นรูปปั้นเซนต์ปีเตอร์แทน
อาคารนี้คือตลาดทราจัน (Trajan’s Market) ได้ชื่อว่าเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของโลกเลยครับ

.

โคลอสเซียม (Colosseum)

จากนั้นเราก็ขึ้นรถบัสต่อ เพื่อไปโคลอสเซียมก่อน ค่อยมาโรมันฟอรั่มทีหลัง

ก่อนไปเที่ยวนี่ดู Gladiator ปลุกใจไว้ก่อน มาดูของจริงนี่ก็เลยอินอยู่เหมือนกันครับ สำหรับคนสมัยก่อนมันคงยิ่งใหญ่มาก ๆ
ภายในโคลอสเซียม อันนี้คือลานประลองไม่อยู่แล้วในปัจจุบัน ที่เห็นด้านล่างคือทางเดินสำหรับการขนส่งนักสู้และสิ่งของ
ถ้าลานประลองยังอยู่ ก็น่าจะอยู่บริเวณที่คนยืน ๆ กันนี่แหละครับ แต่ยาวปกคลุมไปทั้งลาน
โคลอสเซียมอีกภาพ ถ่ายจากทางเดินไปโรมันฟอรั่ม
ระหว่างทางผ่านประตูชัยของจักรพรรดิคอนสแตนติน (Arch of Constantine) จักรพรรดิองค์แรกที่เปลี่ยนมานับถือคริสตศาสนา

.

เนินเขาปาลาติเน (Palatine Hill) และโรมันฟอรั่ม (Roman Forum)

เราแวะไปที่เนินเขาปาลาติเน (Palatine Hill) ก่อน เป็นที่ ๆ เชื่อกันว่าเป็นจุดที่กรุงโรมก่อตั้งขึ้น ก็เป็นเนินเขาที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังตั้งแต่สมัยโรมัน จริง ๆ ก็มีรายละเอียดนะครับว่าแต่ละแห่งคืออะไรบ้าง แต่ผมก็ไม่ได้อ่านเท่าไหร่ครับ เดินเก็บบรรยากาศไปเรื่อยมากกว่า

สภาพโบราณสถานที่เหลืออยู่ไม่ได้สมบูรณ์เท่าใดนัก

ถัดมาจากปาลาติเนก็จะเป็นโรมันฟอรั่ม (Roman Forum) ครับ เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรโรมันในอดีต ก่อนจะถูกทิ้งร้างกลายเป็นทุ่งเลี้ยงวัวหลังโรมันล่มสลาย จนยุคหลังคนจึงกลับมาให้ความสนใจกับที่นี่อีกครั้ง

หลักฐานความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรโรมันในอดีต
มองไปทางโคลอสเซียม
จริง ๆ แต่ละอาคารมีชื่อ มีรายละเอียดนะครับว่าใช้ทำอะไร แต่ผมไม่ได้อ่าน

.

16 ก.ย. 61: นครรัฐวาติกัน

นครรัฐวาติกัน (Vatican City) เป็นประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ตั้งอยู่กลางกรุงโรม สาเหตุที่เป็นแบบนี้เนื่องจากในช่วงที่จะรวมประเทศ กรุงโรมเป็นที่สุดท้ายที่เข้ามารวม และบริเวณวาติกันนี้เป็นบริเวณที่มีปัญหายืดเยื้อไม่สามารถรวมได้เสียที จนมาถึงปี 1929 จึงได้มีการทำสนธิสัญญากันให้เป็นนครรัฐอิสระ ปกครองโดยพระสันตปาปา โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นกลางทางการเมือง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองระหว่างประเทศ

นครรัฐวาติกันมีประชากรเป็นของตนเอง แต่เป็นชายและมาจากประเทศอื่นทั้งหมด ไม่สามารถมีคนเกิดมามีสัญชาติวาติกันได้ ปัจจุบันมีประชากรประมาณ 1,000 คน สถานที่ท่องเที่ยวหลัก ๆ ในนี้ก็จะมี มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ และพิพิธภัณฑ์วาติกัน

.

พิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican Museum)

เป็นส่วนหนึ่งของวังพระสันตปาปา เป็นที่เก็บรวบรวมงานศิลปะของพระสันตปาปามาตั้งแต่สมัยยุคกลาง ผลงานที่โด่งดังที่สุดน่าจะเป็นผลงานจิตรกรรมในหอสวดมนต์ซิสทีน (Sistine Chapel) ของมีเกลันเจโล (Michelangelo) แต่ในห้องนี้ห้ามถ่ายรูปครับ นอกจากนี้ยังมีผลงานของศิลปินดัง ๆ อื่น ๆ อีกมากมาย

พิพิธภัณฑ์นี้ไม่ติดแอร์และคนเยอะมาก ร้อนพอสมควรครับ ควรจองตั๋วล่วงหน้าไม่งั้นอาจได้รอเป็นชั่วโมงกว่าจะได้เข้า

เพดานของหอสวดมนต์ซิสทีน ผลงานของมิเกลันเจโล (ภาพจาก Wikipedia) ที่ดังที่สุดคือภาพ The Creation of Adam ที่อยู่ตรงกลาง ส่วนที่ผนังคือภาพ The Last Judgement ซึ่งมิเกลันเจโลมาวาดอีกทีตอนอายุเยอะแล้ว ทำให้สไตล์เปลี่ยนไป
บรรยากาศภายในพิพิธภัณฑ์วาติกัน ส่วนใหญ่จะเป็นงานศิลปะทางศาสนา ที่คนมุงดูกันนี้คือภาพ Transfiguration ผลงานชิ้นสุดท้ายของราฟาเอล
ชอบภาพนี้ครับ Adam and Eve in the Garden of Eden โดย Wenzel Peter
มีประติมากรรมมากมายในนี้
มุมมหาชนที่ทุกคนต้องถ่าย บันไดวนทางออกของพิพิธภัณฑ์
รูปปั้นมากมาย
รูปปั้นกรีกโบราณ Apollo Belvedere
Laocoön sculpture จากสมัยก่อนคริสตกาล เล่าเรือของนักบวชที่โดนเทพเจ้าส่งงูทะเลมาฆ่า เพราะบอกให้ชาวทรอยไม่เอาม้าไม้ของกรีกเข้ามา (ตอนนั้นเทพอยู่ข้างกรีก)
รูปปั้นของ Tiber เทพเจ้าแห่งแม่น้ำ กำลังเทน้ำลงมาเป็นแม่น้ำ เป็นรูปปั้นเก่าแก่สมัยกรีก
Galleria delle Carte Geografiche (Maps Gallery) รวบรวมรูปวาดแผนที่ของอิตาลี

เดินต่อมาเรื่อย ๆ จะเจอ Raphael’s Rooms เป็นห้อง 4 ห้องที่รวมผลงานของราฟาเอง

Disputation of the Holy Sacrament
ภาพนี้น่าจะดังสุดแล้วครับ The School of Athens ตรงกลางคือพลาโตกำลังสนทนากับอริสโตเติล
ภาพนี้หาไม่เจอครับว่าชื่ออะไร

.

จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์และมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์

เดินมาไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์วาติกันก็จะเป็นจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ครับ สร้างขึ้นในบริเวณที่เป็นหลุมฝังศพของเซนต์ปีเตอร์

เสารอบ ๆ จัตุรัส สวยดีครับ อันนี้คือต่อคิวรอเข้าไปข้างในมหาวิหารอยู่
จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ ตรงกลางคือเสาโอเบลิสก์จากเมืองอเล็กซานเดรียของอียิปต์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 1
ภายในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ มีความยิ่งใหญ่อลังการมาก ๆ ครับ น่าจะเป็นโบสถ์ที่อลังการที่สุดในโลกแล้ว
รูปสลักปิเอตา (Pieta) พระแม่มาเรียอุ้มพระศพพระเยซู ผลงานของมีเกลันเจโล
มองไปเห็น altarpiece ของมหาวิหาร เป็นเก้าอี้ของเซนต์ปีเตอร์ ตั้งอยู่ใต้ประติมากรรมเป็นรัศมีรอบกระจกสี มีเทวดาอยู่รอบ ๆ
มองขึ้นไปบนยอดโดม ผลงานของศิลปินหลายท่านช่วยกันทำต่อ ๆ กันจนเสร็จ
St. Peter’s Baldachin เป็นแท่นบูชาเหนือจุดที่เป็นหลุมฝังศพของเซนต์ปีเตอร์
เราสามารถขึ้นไปที่ยอดโดมได้ (ต้องเสียเงิน 8 ยูโรเดินเอง 10 ยูโรมีลิฟท์ครึ่งหนึ่ง) ระหว่างทางมองลงมาก็สวยดีครับ
ขึ้นไปยอดโดมแล้วมองลงมายังจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ สวยมากครับ
วิวนครรัฐวาติกันและกรุงโรมจากยอดโดม สวยดีเช่นกันครับ
วิวจากยอดโดมอีกมุมหนึ่ง
ทหารนี้คือสวิสการ์ด เป็นทหารของวาติกัน ผู้จะมาเป็นได้ต้องเป็นหนุ่มชาวโสดสวิตเซอร์แลนด์ นับถือนิกายโรมันคาทอลิค และสูง 174 ซม.ขึ้นไป
ลงมาแล้วก็เก็บบรรยากาศรอบ ๆ จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ต่อ เสา ๆ นี้สวยดีครับ
ด้านบนเป็นรูปปั้นของนักบุญต่าง ๆ
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ยามเย็น

.

หลังจากนั้นเราก็กลับโรงแรมพักผ่อน เพื่อเตรียมเดินทางกันต่อไปยังฟลอเรนซ์ในวันถัดไปครับ ก็จบแล้วครับสำหรับตอนแรก ไว้พบกันตอนต่อไปครับ


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *