ทริปนี้เป็นหนึ่งในซีรีย์ 17 วันเที่ยวยุโรป 5 ประเทศ เป็นการเดินทางหลังเรียนจบ Health Informatics จากสวีเดนของผมเองครับ โดยทริปนี้เป็นทริปต่อจากโคเปนเฮเกน ผมเดินทางมาถึงออสโลค่ำวันที่ 20 ส.ค. 61 และอยู่ถึงวันที่ 24 ส.ค. จึงเดินทางกลับสต็อกโฮล์มครับ
ความคิดเห็นต่อทริปนี้โดยรวม
- นอร์เวย์เป็นประเทศที่เดิมยากจนกว่าสวีเดนหรือเดนมาร์ก (แต่ก็ไม่ได้จนนะครับ) แต่ค้นพบแหล่งน้ำมันในช่วง 70s เลยกลายเป็นรวยที่สุดขึ้นมา (คล้าย ๆ จนสุดในหมู่บ้าน แต่อยู่ดี ๆ ถูกหวย) เมืองอย่างออสโลหรือเบอร์เกนก็แสดงภูมิหลังแบบนี้ออกมา คือเมืองไม่ค่อยมีอะไรหวือหวาอลังการจากยุคก่อน แต่มี infrastructure เช่น พวกรถไฟฟ้า รถเมล์ ที่ค่อนข้างใหม่ เมืองอย่างเบอร์เกนประชากรแค่สามแสนแต่มีรถไฟฟ้าวิ่งเข้าสนามบิน และตึกใหม่ ๆ เต็มเมือง
- แม้ไม่ค่อยมีอะไรหวือหวา แต่ผมก็ชอบออสโลนะ ชอบในความเงียบ ชอบ Frogner park ที่แปลกดี และชอบพิพิธภัณฑ์เรือทั้ง Fram และ Kon-Tiki
- แต่ไฮไลท์โคตร ๆ ของนอร์เวย์คือธรรมชาติครับ เส้นทางรถไฟจากออสโลไป Myrdal นี่คือสวยมาก ส่วน Flåmsbana ในตำนานนี่ก็สวยแหละ แต่สั้นไปนิดกับอุโมงค์เยอะไปหน่อย จาก Gudvangen มาจนถึง Bergen ก็สวยมากเช่นกัน
- เป็นการล่องเรือในฟยอร์ดครั้งแรก ส่วนตัวประทับใจมากนะครับ ตอนเริ่ม ๆ นี่งงว่าต่างจากทะเลไทยตรงไหน พอเข้าไปลึก ๆ เท่านั้นแหละ เหมือนหิมาลัยที่มีน้ำท่วม แนะนำเลยครับ
- ส่วนเบอร์เกนนี่ ฝนตกทั้งวัน เลยไม่ค่อยได้ไปไหน ไปก็ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ จุดชมวิวขาวโพลนงี้ 😆 ไว้โอกาสหน้ามาใหม่ครับ
- ข้อเสียคือแพงมากกก แพงแบบไร้ซึ่งหลักเหตุและผลใด ๆ แล้ว ข้าวผัดจาน 500 ผัดไทยจาน 600 งี้
.
ทิปเล็กทิปน้อย
- ถ้ามาเที่ยวสั้น ๆ และอยากเน้นเก็บสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ แนะนำอย่างยิ่งให้ซื้อ Oslo Pass นะครับ ครอบคลุมการเดินทางทั้งหมด และสถานที่สำคัญ ๆ อยู่ครบ (แต่ไม่ครอบคลุมการเดินทางไปกลับสนามบินนะครับ)
- ที่เบอร์เกนจริง ๆ ก็มี Bergen Card ผมเองไม่ได้ซื้อครับ แต่มาคิดย้อนหลังแล้วรู้สึกว่าน่าจะซื้อ เพราะหมดไปเกิน ค่าการ์ด 24 ชม. ราคา 260 NOK แค่ค่าตั๋วเดินทาง 24 ชม. ก็ 95 NOK แล้วครับ
- ที่เบอร์เกน ณ วันที่ผมไป Google Maps ยังไม่มีข้อมูล public transport นะครับ ดังนั้นเราต้องหาข้อมูลจากแอพชื่อ Skyss Reise
- จุดฝากกระเป๋าที่ Central Station ของเบอร์เกนมีความแออัด ตอนผมไปเหลือแต่กล่องเล็ก กระเป๋าผม (24 นิ้ว) ยัดเข้าไปได้แบบพอดีมาก เกือบไม่เข้า ถ้าใครกระเป๋าใหญ่ ๆ อาจต้องมีแผนสำรอง
- การเดินทางไป Flåmsbana ผมซื้อเป็นแพ็คเกจของ Norway in a Nutshell จริง ๆ เราสามารถซื้อแยกแต่ละการเดินทางได้ไม่ต้องผ่านเขา แต่ตอนผมจะซื้อตั๋วรถไฟจากออสโลไป Flåm เต็มหมดแล้ว ก็เลยต้องซื้อผ่านเขา ส่วนตัวผมว่าค่อนข้างเหนื่อย ออกจากออสโล 6 โมงเช้า ไปถึงเบอร์เกน 3 ทุ่ม ถ้าเราซื้อเอง custom เอง หรือแวะพักที่ Flåm ซักคืนอาจจะชิลขึ้น ปัญหาอีกอย่างคือค่อนข้างแพง ผมหมดไป 2,080 NOK (ราว 8,700 บาท) ซื้อแยกเองไม่น่าแพงขนาดนี้
.
รีวิวที่พัก
ที่ออสโลผมพักที่ Anker Apartment ทั้งแบบโฮสเทล (คืนละ 900 บาท) และแบบห้องเดี่ยว (คืนละ 3,200 บาท) เรื่องทำเลไม่ได้ดีมากแต่ก็ไม่ได้แย่ครับ นั่งมาจาก Central station ประมาณ 30 นาที โรงแรมอยู่ใกล้กับสถานีรถราง ชั้นแรกของโรงแรมมีร้านสะดวกซื้อ Joker ที่เปิดตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน ก็สะดวกดีเวลาต้องการอะไร ห้องพักแบบโฮสเทล ผมพักแบบ 36 เตียง (เยอะมาก!) แต่ก็โอเคนะครับ มีปลั๊กไฟใกล้ ๆ ห้องน้ำเยอะ เพียงพอกับการใช้งาน มีห้องอาหารกลางใหญ่มากให้ใช้ ข้อเสียคือล็อบบี้ด้านล่างหาปลั๊กไฟยาก กับเน็ตใช้งานได้บ้างไม่ได้บ้าง ข้อเสียอีกอย่างคือราคานี้ไม่ได้รวมผ้าปูที่นอนกับผ้าเช็ดตัว ดังนั้นต้องเช่าเพิ่มอีก ส่วนห้องพักแบบเดี่ยวก็โอเคตามมาตรฐานครับ
ที่เบอร์เกนผมพักที่ Scandic Flesland Airport เพราะเป็นห้องพักเดี่ยวที่ถูกที่สุดที่หาได้แล้ว ณ เวลานั้น ราคาคืนละ 4,700 บาท นั่งรถรางออกไปจากตัวเมืองเป็นเวลา 1 ชม.กว่าจะถึงสนามบิน และเดินอีกราว 10 นาทีครับ แถมวันนั้นฝนตกด้วย ทุลักทุเลพอควร แต่อย่างไรก็ดี คุณภาพก็สมแบรนด์ Scandic ครับ ห้องดีมาก อาหารเช้าก็ดีมาก ๆ
.
21 ส.ค. 61: สวน Frogner / หอศิลป์แห่งชาติ / ศาลากลาง / ศูนย์โนเบล / ป้อม Akershus
สวน Frogner Park
Fronger park เป็นส่วนสาธารณะสำคัญของออสโล มีสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจหลาย ๆ อย่างอยู่ภายในบริเวณ แต่ที่โดดเด่นที่สุดก็คือ สวนหินวิกเกอร์แลนด์ (Vigeland Sculpture Park) เป็นสวนหินที่มีประติมากรรมกว่า 800 ชิ้น ซึ่งสร้างโดยกุสตาฟ วิกเกอร์แลนด์ศิลปินชาวนอร์เวย์ ประติมากรรมเหล่านี้เป็นรูปปั้นมนุษย์เปลือยในอิริรยาบถต่าง ๆ สอดคล้องไปกับธีมของสวนคือ The Circle of Life
สวนนี้เข้าชมได้ฟรี


.
พระราชวังหลวง (Royal Palace)
พระราชวังหลวงนี้ก็เหมือนพระราชวังของประเทศอื่น ๆ ครับ ปัจจุบันกษัตริย์และราชินีของนอร์เวย์ก็ยังทรงประทันอยู่ที่นี่ พระราชวังนี้เปิดให้เข้าชมเฉพาะช่วงฤดูร้อนและควรซื้อบัตรไปล่วงหน้า แต่ช่วงที่ผมไปปิดไม่ให้เข้าแล้ว เลยไม่ได้เข้าครับ ข้าง ๆ พระราชวังยังมีสวน Royal Palace Park อันนี้เปิดตลอด เห็นบอกว่ามีพืชพรรณหายากอยู่ในนั้น แต่ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องพืชเลยไม่รู้ว่าอันไหนเป็นพืชหายาก โดยรวมแล้วเลยรู้สึกเหมือนสวนอื่น ๆ ทั่วไป
ค่าเข้าชม 135 NOK ไม่สามารถใช้ Oslo Card ได้ครับ

.
หอศิลป์แห่งชาติ (National Gallery)
เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในนอร์เวย์ เก็บรวบรวมงานศิลปะในประเทศและต่างประเทศเช่นเดียวกับพิพิธภัณฑ์ศิลปะอื่น ๆ จริง ๆ จัดว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ค่อนข้างเล็กถ้าเทียบกับที่อื่น (เช่น ลูฟวร์) แต่ตอนนี้นอร์เวย์กำลังทำการก่อสร้างหอศิลป์แห่งใหม่ ซึ่งคาดหวังว่าจะใหญ่ที่สุดในประเทศกลุ่มนอร์ดิก เปิดให้บริการปี 2020 ก็เดี๋ยวไว้กลับมากันครับ
ไฮไลท์ของที่นี่ในปัจจุบันก็คืองานของเอ็ดเวิร์ด มุงค์ (Edvard Munch) ศิลปินชาวนอร์เวย์แนว Expressionism ผลงานที่โด่งดังที่สุดน่าจะเป็น The Scream
ค่าเข้าชม 120 NOK เข้าชมฟรีด้วย Oslo Card






.
ศาลากลาง (City Hall)
ถือเป็นศาลากลางที่ค่อนข้างใหม่ครับ เพราะเพิ่งเปิดใช้เมื่อปี 1950 นี้เอง ภายในจึงเต็มไปด้วยศิลปะสมัยใหม่
เข้าชมฟรี ไกด์ทัวร์ก็ฟรี



.
ศูนย์รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ (Nobel Peace Center)
ทุกคนน่าจะรู้จักรางวัลโนเบลกันอยู่แล้ว ปกติการคัดเลือกและมอบรางวัลโนเบลจะทำที่สต็อกโฮล์ม แต่มีรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพที่จะทำที่ Nobel Peace Center นี้ครับ ไม่มีใครรู้ว่าทำไมคุณโนเบลถึงกำหนดให้เป็นแบบนี้ครับ
ค่าเข้าชม 120 NOK เข้าชมฟรีด้วย Oslo Card



.
ป้อม Akershus
เป็นป้อมตั้งแต่สมัยยุคกลางครับ ปัจจุบันเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ให้อารมณ์คล้าย ๆ ป้อมยุคกลางอื่น ๆ (เช่น Suomenlinna ในเฮลซิงกิ)
เข้าชมฟรี แต่ปราสาท (ตอนนี้ปิดซ่อมอยู่) และพิพิธภัณฑ์ในนั้นฟรีบ้างไม่ฟรีบ้าง ใช้ Oslo Card ได้ที่ Resistance Museum






.
The Norwegian National Opera & Ballet
ก็คือ Opera House แหละครับ เห็นบอกว่าขึ้นไปหลังคาชมวิวเมืองได้ แต่ด้านในนี่ไม่แน่ใจว่าถ้าไม่ซื้อบัตรเข้าได้ไหม ผมแค่เดินผ่านเฉย ๆ ไม่ได้เข้าไปเหมือนกันครับ
ไกด์ทัวร์ราคา 120 NOK (ไม่แน่ใจว่าใช้ Oslo Card ได้ไหม แต่ไม่น่าได้)

.
22 ส.ค. 61: เรือไวกิ้ง / เรือแฟรม / เรือคอนติกิ / พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรม
Oslo Cathedral
โบสถ์ประจำเมือง เข้าชมฟรีครับ


.
พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้ง (The Viking Ship Museum)
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรือไวกิ้งที่อยู่ในสภาพดีที่สุดในโลกเท่าที่มีการสำรวจพบมา ตามที่ผมเข้าใจคือตอนที่พบนี่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่เป็นเรือแบบนี้นะครับ แต่เขาไปผ่านกระบวนการทดลองสร้างชิ้นส่วนต่าง ๆ และนำไปทดลองแล่นในน้ำจริง ๆ จนเชื่อได้ว่าเรือในสมัยก่อนน่าจะเป็นอย่างไร จึงทำการบูรณะให้เป็นแบบดังกล่าว ภายในมีเรือทั้งหมด 4 ลำ
ค่าเข้าชม 100 NOK เข้าชมฟรีด้วย Oslo Card


.
พิพิธภัณฑ์เรือแฟรม (Fram Museum – The Polar Ship Fram)
เรือแฟรมเป็นเรือไม้ที่ใช้เดินทางสำรวจขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้หลาย ๆ ครั้ง หลังปลดระวางจึงนำมาจัดแสดงที่นี่และใช้บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการสำรวจพื้นที่ดังกล่าว ไฮไลท์หนึ่งก็คือเรื่องราวของ Roald Amundsen ในการพิชิตขั้วโลกใต้เป็นคนแรกของโลกด้วยสุนัขลากเลื่อน
ค่าเข้าชม 120 NOK เข้าชมฟรีด้วย Oslo Card






.
พิพิธภัณฑ์เรือคอนติกิ (The Kon-Tiki Museum)
เรือคอนติกิก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวการสำรวจที่น่าสนใจครับ Thor Heyerdahl มีทฤษฎีของเขาว่าชาว Polynesian นั้นดั้งเดิมแล้วมาจากพื้นที่บริเวณเปรู แต่ไม่มีใครเชื่อเขา เขาจึงสร้างเรือที่ค่อนข้างโบราณแบบนี้ขึ้นมา และลองแล่นข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกดูจริง ๆ เพื่อพิสูจน์ว่ามันเป็นไปได้
ค่าเข้าชม 120 NOK เข้าชมฟรีด้วย Oslo Card


.
พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรม (Norwegian Museum of Cultural History)
ก็คือ Open air museum เหมือนกับ Skansen ที่สต็อกโฮล์มครับ มีอาคารของชาวนอร์เวย์กว่า 155 หลังอยู่ในบริเวณนี้ แต่ส่วนตัวผมว่า Skansen ทำดีกว่าเยอะ (หรือเพราะตอนนั้นผมไปช่วงฤดูร้อนก็ได้ครับ เลยมีความครึกครื้นมากกว่า)
ค่าเข้าชม 130 NOK เข้าชมฟรีด้วย Oslo Card








.
23 ส.ค. 61: Flåmsbana / ล่องฟยอร์ด
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าผมซื้อทัวร์กับทาง Norway in a nutshell จริง ๆ มันก็คือการขายตั๋วเป็นแพ็ค จากนั้นเราก็เดินทางของเราเอง เอาตั๋วไปขึ้นรถไฟขึ้นเรืออะไรของเราไปเอง ซึ่ง Norway in a nutshell นี้ประกอบไปด้วย
- รถไฟจากออสโลไปยัง Myrdal ผมว่าเป็นทางรถไฟที่สวยมากทางหนึ่ง
- รถไฟสายโรแมนติก Flåmsbana หรือก็คือรถไฟจาก Myrdal ไปยัง Flåm
- ล่องเรือชม Aurlandsfjord และ Nærøyfjord ไปยัง Gudvangen
- รถบัสจาก Gudvangen ไปยัง Voss ซึ่งมันจะผ่านถนน Stalheimskleiva ซึ่งเป็นถนนที่ชันที่สุดในยุโรปเหนือ
- รถไฟจาก Voss ไปยังเบอร์เกน ซึ่งอันนี้ก็เป็นทางรถไฟที่สวยมากอีกทางหนึ่ง
ทั้งหมดนี้หมดในวันเดียว ดังนั้นเราจะออกจากออสโลเวลา 6:25 และไปถึงเบอร์เกนราว 21:00 ซึ่งโดยรวมแล้วก็เป็นวันที่เหนื่อยพอสมควรเหมือนกันครับ หรือถ้าใครอยากแวะค้างที่เมืองใดระหว่างทางก็สามารถเลือกได้ ก็ค้างแล้วไปขึ้นการเดินทางต่อไปในเวลาเดียวกันของวันถัดไป
สำหรับผมเอง Flåmsbana นี่ผมว่าก็สวยดีครับ แต่มันราว 1 ชม. ก็ไม่ได้ยาวมาก และระหว่างทางก็เต็มไปด้วยอุโมงค์ และความสวยก็มาแบบสลับซ้ายสลับขวา เลยเหมือนเราได้เสพความงามแค่ด้านที่เรานั่ง จบการเดินทางเลยเป็นไม่ค่อยอิ่มเท่าไหร่
ใน Flåmsbana เองระหว่างทางจะมีแวะให้เราไปชมน้ำตก Kjosfossen ด้วยครับ มีเปิดเพลงและมีคนมาเต้นประกอบเพลงข้างน้ำตก (ไม่รู้ฤดูอื่นจะยังมีอยู่ไหม)
.















.
24 ส.ค. 61: เบอร์เกน
เบอร์เกนเป็นอดีตเมืองหลวงของนอร์เวย์ตั้งแต่สมัยยุคกลางมาจนถึงศตวรรษที่ 19 ก่อนจะย้ายไปยังออสโล ปัจจุบันเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของนอร์เวย์ ด้วยประชากรราว 400,000 คน
วันนั้นที่เบอร์เกนเป็นวันที่ฝนตกทั้งวัน หนักบ้างเบาบ้าง อากาศเลยออกมาค่อนข้างหนาวและพื้นมีความแฉะ ผมเลยไม่ค่อยมีอารณ์ไปไหนมากเท่าไหร่ครับ
.



.
ตลาดปลาเบอร์เกน (Fish Market)
หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่คนที่มาเบอร์เกนต้องมาเยือน ปกติไม่ค่อยเห็นตลาดขายปลากันกลางแจ้งแบบนี้เท่าไหร่ในยุโรปครับ (ให้บรรยากาศคล้าย ๆ ไทยแลนด์มาก)
.




.
ย่านบรีเก็น (Bryggen)
ย่านนี้เป็นย่านที่เป็นจุดศูนย์กลางของเมืองเบอร์เกนมาตั้งแต่ยุคกลาง แต่ย่านนี้เคยถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ในช่วงศตวรรษที่ 18 ที่เห็นบ้านไม้สี ๆ อันนี้คือสร้างใหม่ตั้งแต่สมัยนั้น
.





.
ป้อม Bergenhus
เป็นป้อมโบราณและเป็นที่ตั้งของ Håkon’s Hall ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองสมัยที่เบอร์เกนยังเป็นเมืองหลวง ใกล้ ๆ กันยังมีหอคอย Rosenkrantz และใกล้ ๆ กันก็มีพิพิธภัณฑ์ Bergenhus
ส่วนตัวผมว่า Hålon’s Hall นี่ก็สวยดีอยู่ครับ แต่ส่วนอื่น ๆ นอกจากนั้นก็ไม่ค่อยมีอะไรหวือหวาเท่าไหร่ จริง ๆ ถ้าอ่านอาจจะได้ความรู้ แต่ผมไม่ค่อยได้อ่าน
ค่าเข้าชม 80 NOK เข้าชมฟรีด้วย Bergen Card




.
ภูเขา Fløyen
เป็นภูเขาเอาไว้ชมวิวเมืองเบอร์เกนครับ และก็มีร้านอาหาร มีกิจกรรมอื่น ๆ ให้ทำบนนั้นแหละครับ การขึ้นไปสามารถนั่งกระเช้าขึ้นไปหรือว่าเดินขึ้นไปก็ได้ ขาลงก็เช่นกัน แต่ถ้าฝนตกขึ้นไปถึงก็จะไม่เห็นอะไรแบบผมนี่แหละครับ 😅
ค่ากระเช้าไป-กลับ 95 NOK ถ้ามี Bergen card ลด 50 % ในช่วงเดือนพ.ค.-ก.ย. และฟรีในเดือนที่เหลือ

.
หลังจากนั้นผมก็กลับไปยัง Central station และขึ้นรถไฟรอบดึกกลับออสโลครับ ผมซื้อแบบรถนั่งด้วยครับไม่ใช่รถนอน แต่เอาจริง ๆ แล้วจากการนั่งแนวนี้มาหลายรอบ ผมว่าการนั่งรถไฟนั่งไม่ได้เหนื่อยมากไปกว่ารถไฟนอนเท่าไหร่ครับ คือก็หลับ ๆ ตื่น ๆ เหมือนนั่งเครื่องบินแหละ ที่สำคัญคืออย่าไปเลือกที่นั่งที่เป็นโต๊ะ เพราะเราจะเหยียดขาไม่ได้ มันชนคนตรงข้าม แต่ถ้าที่นั่งปกตินี่เหยียดสบายครับ ไปถึงออสโล 6 โมงเช้า พักผ่อนและหาอะไรกินรอ 11 โมงก็นั่งรถไฟกลับสต็อกโฮล์มครับ ก็คงพักที่สต็อกโฮล์มและเคลียร์งานเล็กน้อย ก่อนจะมีทริปถัดไปครับ
ก็จบแล้วสำหรับทริปนอร์เวย์นี้ และเป็นการปิดฉากทริปยุโรปหลังเรียนจบ (ภาคแรก) ไว้พบกันทริปหน้าครับ 🙂
เขียนดีมากครับ…. 🙂
ละเอียดมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ
Norway in a nutshell พวกเรือ/รถไฟ ฯลฯ มีที่วางกระเป๋าเดินทางใช่ไหมคะ
เขียนดีมากเลยค่ะ ชอบที่ไม่อวยเกินไป รายละเอียดดีค่ะ
ดีทั้งข้อมูล รูปและรายละเอียดการเดินทางค่ะ กำลังวางแผนไปเที่ยวเส้นทางคล้าย ๆ แบบนี้ ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ
เขียนดีมากเลยครับ