ริงๆ บทความนี้ผมเขียนลงครั้งแรกในพันทิปครับ แต่รู้สึกว่าควรเอามาไว้ Blog ตัวเองด้วย ก็เลยก็อปมาครับ อันนี้ก็เป็นทริปตั้งแต่ต้นปี 2556 แล้ว หลายๆ อย่างอาจจะเปลี่ยนไปบ้างเหมือนกันครับ
สวัสดีครับ ห่างหายไปนานเหมือนกัน พอดีผมได้มีโอกาสไปเที่ยวฮานอย-ซาปามาครับ จริงๆไปมาตั้งแต่ 19-24 ก.ค.56 แล้วครับ ช่วงนั้นเป็นหน้าฝนพอดี แต่เพิ่งมีโอกาสดูรูปแต่งรูปครับ ผมไม่ค่อยมีความรู้ในสถานที่ที่ไปอะไรนะครับ ไกด์ก็ไม่ได้จ้าง ออกแนวเก็บภาพมาฝากมากกว่าครับ
19 ก.ค. 56: ฮานอยวันแรก
เราออกจากกรุงเทพฯ 6:45 น. คนรอเช็คอินเยอะมาก ผมไปถึงตี 5 นิดๆ แต่เกือบตกเครื่องเพราะผ่านเช็คอินไม่ทัน ได้ขึ้นเครื่องบินเกือบจะคนสุดท้ายเลย AirAsia แย่มากครับ เฟลซ้ำสองหลังจากไปถึงฮานอยคือโหลดกระเป๋านานมาก เกือบสองชั่วโมงหมดไปกับการรอกระเป๋า – -”
ช่วงที่ผมไปอากาศร้อนอบอ้าวสุดๆ ราวกับประเทศไทย รู้สึกจะเป็นหน้าฝนของที่นั่นครับ ไปถึงโรงแรมนี่แทบไม่อยากออกไปไหน ร้อนเกิน
ที่ฮานอยนี้เราพักกันที่โรงแรม Rising Dragon Haven Hotel คืนละ 22 USD จองไปจากไทย โดยรวมโอเคเลยนะครับ โรงแรมใหม่ มีอาหารเช้า อยู่ในตัวเมือง โรงแรมนี้เป็นโรงแรมในเครือโรงแรมของเขา (จริงๆจอง Dragon Palace แต่แอร์เสียเลยได้ไป Haven แทน)
ที่ฮานอยนี้ระวังเรื่องค่า Taxi กันเล็กน้อยครับ คือเราสามารถตกลงราคาก่อนเดินทางหรือใช้มิเตอร์ก็ได้ มีครั้งนึงพวกผมลองใช้มิเตอร์ดู (อยากรู้) โดนฟันเละเลยครับ นั่งแค่ 15 นาทีหมดไปสามร้อยบาทมั้ง เพราะงั้นตกลงราคากันเอาอาจจะเวิร์คกว่าครับ แต่หลายๆ ครั้งใช้มิเตอร์ก็ไม่มีปัญหาครับ
ในภาพเป็นสภาพเมืองฮานอยจากหน้าโรงแรมครับ ร่มรื่นดี แต่ถ้าพูดถึงความเจริญก็อาจจะห่างกรุงเทพฯ เยอะเหมือนกัน คนเวียดนามบอกเมืองที่ใหญ่ที่สุดจริงๆ คือโฮจิมินห์

ที่แรกที่ไปคือสุสานโฮจิมินห์ครับ (Ho Chi Minh’ s Mausoleum) ดูข้างนอกอลังการงานสร้างดีครับ ข้างในเห็นว่ามีศพโฮจิมินห์อยู่ในโลงแก้วให้คนกราบไหว้ ไปถึงถึงได้รู้ว่าเขาปิดบ่ายวันจันทร์กับศุกร์จ้า เฟลเบย T.T

ใกล้ๆ กันมีอาคารอะไรไม่รู้ครับ เหมือนจะเป็นพิพิธภัณฑ์ครับ สวยดี แต่ไม่ได้เข้าไปดูครับ

ทหารเฝ้าหน้าสุสาน

มีแบบยืนนิ่งกับเดินลาดตระเวน

ใกล้ๆ กันจะเป็นพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Museum) ปิดเช่นกันจ้า

วัดสไตล์เวียดนาม จะค่อนข้างคล้ายวัดจีน แต่ก็ไม่เหมือนซะทีเดียวครับ

วัดเจดีย์เสาเดียว (One Pillar Pagoda) คือเป็นวัดที่สร้างบนเสาต้นเดียวครับ

เดินเลาะตามเมืองฮานอย สภาพเมืองโดยทั่วไป

ช่างตัดผมข้างทาง

เดินจากสุสานโฮจิมินห์มาไม่ไกลจะเป็นวิหารวรรณกรรมครับ (Temple of Literature) ข้างในก็จะมีศิลาจารึกแบบนี้เยอะแยะเลย

และสภาพภายในวัดโดยทั่วไป

มีคุณลุงกำลังคัดลายมือ

จากนั้นนั่งแท็กซี่ย้อนขึ้นไปทางเหนือเพื่อไปวัดจั่วเตริ่นกว๊อก (Chua Tran Quoc) เป็นวัดอยู่ที่ทะเลสาบโฮไต (Ho Tay) วัดนี้สวยดีครับ เจดีย์ใหญ่ดี อยู่ริมทะเลสาบด้วย

เจดีย์สูงดี สวยดีครับ

ขากลับก็เดินเล่นเลาะริมทะเลสาบไปเรื่อย เจอคนนี้นอนอยู่ คือยืนมองอยู่นานมากว่านี่ arrest หรือนอนเฉยๆ แต่เห็นคนแถวนั้นก็ไม่ได้ทำอะไร สงสัยนอนเฉยๆ มั้งครับ

สาวขายกังหัน สีสันสดใสดี

Cua Bac Church โบสถ์เก่าแก่แถวนั้น ไม่มีอะไรเท่าไหร่ครับ

ภายในโบสถ์ ก็สวยอยู่แหละครับ

พอตกเย็นก็ไปเดินเล่นหาอะไรกินแถวเมืองเก่า เริ่มต้นจากตลาดดงซวน

ก็จะเป็นอารมณ์เปิดท้าย เดินไปเรื่อยๆ ก็จะมีโซน street food ยาวเลยครับ

20 ก.ค. 59: ฮานอยวันที่ 2
สำหรับวันนี้เราก็เริ่มจากไปจองตั๋วละครหุ่นกระบอกน้ำก่อน ปรากฏว่าเต็มหมดแล้ว โทรไปถามโรงแรมกะว่าให้เขาหาให้ (เพราะเราเที่ยวฮานอยกันวันสุดท้ายแล้ว) ปรากฏโรงแรมบอกว่าลองกลับมาใหม่ใกล้ๆ เวลาแสดง อาจจะมีมา พวกผมก็เลยไปที่อื่นก่อน
เลยไปวัดหง็อกเซินครับ อันนี้คือสะพานเทฮุก (The Huc หรือสะพานแสงอาทิตย์ ) สัญลักษณ์ของฮานอย ใครมาต้องถ่ายกับสะพานนี้

วัยรุ่นแถวนั้น

ตัววัดผมว่าไม่มีอะไรเท่าไหร่ครับ อันนี้เป็นภายในวัด สวยดีนะครับ

บรรยากาศรอบๆ มีคนขายของ

วาดภาพเหมือน

ถ่ายแบบชุดแต่งงานก็มี

ใกล้ๆ กันจะเป็นทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม (Ho Hoan Kiem หรือทะเลสาบคืนดาบ) เหมือนจะสร้างโบสถ์แล้วน้ำท่วมมั้งครับ

ไปต่อที่พิพิธภัณฑ์เรือนจำ (Hoa Lo Prison Museum) คือเรือนจำนี้เป็นคุกเก่าสมัยสงครามเย็นครับ

เคยมีคนลอดทางเล็กๆ นี่แหกคุก มันเล็กมากๆครับ ลอดไปได้ยังไง

สภาพห้องขังนี่อนาถมาก ถ้าต้องมาติดคุกที่นี่ผมชิงฆ่าตัวตายอ่ะ

เดินต่อมาที่โบสถ์เซนต์โจเซฟ (St. Joseph’s Cathedral) โบสถ์สไตล์โกธิคเก่าแก่กว่า 100 ปี ใหญ่อลังการใช้ได้เลยครับ

หลังจากนั้นก็ได้เวลากลับไปลองซื้อตั๋ว ปรากฏว่ามันดันมีตั๋วขึ้นมาซะงั้น 55 ก็เลยลองดูครับ การแสดงหุ่นกระบอกน้ำ (Thang Long Water Puppet Theatre) คือเป็นหุ่นกระบอกอยู่บนน้ำ เขาเชิดยังไงผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ รู้แต่คนเชิดจะอยู่ข้างๆ เวที ตอนแรกนึกว่าดำน้ำเชิดซะอีก

เป็นหุ่นแบบนี้แหละครับ

พอแสดงเสร็จเขาก็พาคนเชิดมาโชว์ตัว มีการแสดงเล็กน้อย

ส่วนตอนเย็นก็ขึ้นรถไฟไปซาปาครับ รถไฟที่เวียดนามนี้มีระบบให้สัมปทานให้เอกชนดำเนินการ รถไฟที่พวกผมนั่งกันเป็นรถนอน คุณภาพดีกว่ารถไฟไทยซะอีกครับ แต่พวกผมฝาก agency จองให้ ได้มาที่ราคาเที่ยวละ 42 USD แพงเอาเรื่อง (ขากลับเห็นพี่คนไทยที่เจอบนรถไฟบอกเขาได้ 30 กว่าๆ USD แสดงว่า agency แอบโหดนะคร้าบ 55

21 ก.ค. 56: ซาปาวันแรก
มาถึงเหล่าไก (Lao Cai) แต่เช้า ต่อรถตู้เข้าไปที่ซาปาอีกราวๆชั่วโมงนึง ฝนตกหนักเอาเรื่อง ลงจากรถมาไม่รู้โรงแรมอยู่ตรงไหนเลยจ้างชาวม้งสองคนพาไปโรงแรมแบบงงๆ คุยกันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แต่จำได้ว่าค่าพาเดินมาโรงแรมนี่ก็แอบแพง – -”
เราพักกันที่โรงแรม Hmong Sapa Hotel อยู่ไม่ได้ถึงกับใจกลางเมืองแต่ก็ในระยะที่ไปมาสะดวกอยู่ครับ จนวันกลับถึงรู้ว่าเจ้าของเป็นคนไทย แถมเป็นคนที่พวกผมเจอที่หลวงพระบางชื่อพี่ศุภชัย ตัวโรงแรมเองก็ใช้ได้เลยนะครับ ไม่แพง ห้องดี บรรยากาศดีมาก
นี่เป็นวิวจากดาดฟ้าโรงแรมครับ

ที่เหมาะอีกอย่างคือคนที่ชอบภาพถ่ายแนวไลฟ์ อันนี้จะฟินมาก คล้ายๆ หลวงพระบาง แต่ผมว่าดีกว่า ก็ไปเดินเล่นเก็บบรรยากาศแถวตลาดไปเรื่อยครับ

เด็กน้อยมากับแม่ ฝนตกทั้งวันครับช่วงนั้น เด็กเป็นปอดบวมซะน้อ = =

บรรยากาศแถวตลาด คลาสสิคดีครับ

โฟกัสผักซะงั้น

อาหารของคนที่นั่น ผมเข้าใจว่าน่าจะกลุ่มๆ เฝอนี่แหละครับ

ป้าเย็บผ้า

บรรยากาศตัวเมืองซาปา มีส่วนผสมของสไตล์ยุโรปเข้ามาเยอะเหมือนกันครับ

ตากฝนขายของ

ซาปาเป็นเมืองที่เหมาะจะมานั่งชิลครับ บรรยากาศนี่ผมว่าเด็ดมาก ถ้ามีเวลามานั่งๆ นอนๆ อ่านหนังสือเล่นซักอาทิตย์นึงนี่ผมว่าเวิร์คเลยนะ กลางคืนก็ออกไปหาเบียร์กินตามบาร์แถวนั้น

ไปต่อที่หมู่บ้านกัตกัต (Cat Cat Village) เป็นหมู่บ้านของชนเผ่าม้งซักเผ่านี่แหละครับ นากำลังเขียวฉอุ่ม
เราก็เช่ามอเตอร์ไซค์จากโรงแรม จอดมอเตอร์ไซค์ไว้หน้าหมู่บ้านแล้วก็ไปเดินวนในหมู่บ้าน ใหญ่เอาการ กว่าจะเดินครบรอบ ตอนผมไปไม่รู้คนหนุ่มสาวไปไหนกันหมดนะครับ สงสัยไปทำงาน เห็นแต่เด็กน้อยกับคนแก่

ควายมอง น่ารักดีครับ

คนในหมู่บ้าน

[18+] เด็กที่หมู่บ้าน Cat Cat นั่งให้ถ่ายตั้งนาน 55

ร้านอาหารกลางหุบเขา คลาสสิคมาก (แต่ไม่ได้กินนะครับ ไม่รู้อร่อยป่าว 55)

จริงๆก็แอบลุ้นอยู่ว่าเขาจะอาบน้ำหรือเปล่า..

ไปต่อที่ Silver Waterfall ครับ น้ำตกใหญ่ยักษ์อลังการงานสร้าง

ใกล้ๆกันจะเป็น Love Waterfall ก็เป็นน้ำตกครับ ตรงทางเดินเข้าไปแม่น้ำจะเป็นสีทองด้วย ส่วนตัวน้ำตกไม่มีอะไรมาก

ซาปาเป็นเมืองที่มีนาขั้นบันไดที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดนะครับ 55) มาซาปาก็ต้องถ่ายนานี่แหละครับ หน้าฝนกำลังเขียวเบย

จากนั้นเราก็กลับโรงแรมนอนกันครับ
22 ก.ค. 56: ซาปาวันที่สอง
ตื่นเช้ามาเจอเมืองในสายหมอก ฟินนน

วันนี้ไม่มีอะไรครับ เราขับรถเล่นไปตามหมู่บ้านต่างๆ ดูวิวดูอะไรไปเฉยๆ บ่ายๆ ก็มานั่งชิลอยู่ร้านกาแฟ ตอนเย็นก็ขึ้นรถไฟกลับไปฮานอย ในภาพคือถ้าไปตามหมู่บ้านจะโดนเด็กรุมขายของแบบนี้แหละครับ 55

เก็บภาพนาขั้นบันไดไปเรื่อย

นาเต็มไปหมด


หมดวันครับ
23 ก.ค. 56: ฮาลองเบย์
มาถึงสถานีรถไฟฮานอยตอนเช้าๆ โรงแรมเดิมมารับ เพราะพวกผมซื้อทัวร์ไปฮาลองเบย์กับเขาไว้ ราคา 40 USD เขาให้ยืมห้องน้ำอาบน้ำด้วย ใจดีจัง แล้วเราก็ขึ้นรถบัสเล็กไปฮาลองเบย์ ใช้เวลาราวๆ 4 ชม. (ทัวร์แวะร้านซื้อของฝากแอบนาน – -”)

เรือทัวร์ก็เป็นแบบนี้แหละครับ มีหลายเจ้าเหมือนกัน

ฮาลองเบย์นี่เอาจริงๆก็ไม่ค่อยมีอะไรนะครับ คือก็สวยแหละ แต่เหมาะจะนั่งเรือสำราญกินลมชมวิวไปเรื่อยๆ มากกว่าที่จะลงเที่ยวนั่นเที่ยวนี่นะ บนเรือมีอาหารให้ อร่อยใช้ได้
จริงๆก็แอบคล้ายภาคใต้บ้านเรา



เขาก็พาแวะตามเกาะต่างๆ ไปพายเรือเล่นบ้าง สุดท้ายก็แวะถ้ำเด่าโก๋ (Dao Go) เป็นถ้ำที่ข้างในจะมีหินที่ดูเหมือนสัตว์ต่างๆ และก็มีการประดับแสงไฟให้มีสีสรรสวยงาม

ตอนเย็นๆ กลับมาพักที่อีกโรงแรมนึงชื่อ Pearl Suites Grand Hotel ซึ่งถูกกว่า ตอนเย็นก็ออกไปหาไรกินกัน วันต่อมาก็เดินทางกลับไทยครับ
ก็จบลงแล้วนะครับสำหรับทริปฮานอย ซาปา ฮาลองเบย์ของผม โดยสรุปแล้วผมประทับใจซาปาค่อนข้างมาก อย่างที่บอกครับว่าเหมาะจะไปนั่งชิลเล่นๆ เนื่องจากไปมานานแล้ว ผมเลยลืมไปแล้วว่าใช้ไปกี่บาท แต่น่าจะราวๆ 12,000 บาท ไม่รวมตั๋วเครื่องบินครับ
ไว้ทริปหน้าเจอกันใหม่นะครับ 🙂
น่าไปเที่ยวมากๆ ครับ
ว่าแต่มีเกี่ยวกับคนไม่ดีกับคนต่างชาติเยอะ จริงไหมครับ
อันนี้ไม่ทราบจริง ๆ ครับ