หนึ่งในกิจกรรมที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็น The Must อย่างหนึ่งของคนที่มาเรียนต่อในประเทศแถบสแกนดิเนเวียก็คือการล่องเรือสำราญ (cruise) ครับ เนื่องจากภูมิประเทศและวัฒนธรรมของคนแถบนี้ที่อาศัยอยู่กับน้ำ ทำให้การล่องเรือเป็นกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจยอดฮิต ผมเองอยู่มาสองปีก็อยากจะทำมานานแล้วแต่ไม่มีโอกาสเสียที พอดีวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมานี้ว่างพอดี เลยถือโอกาสจัดซะเลยครับ
ทาลลินน์ (Tallinn) เป็นเมืองหลวงของประเทศเอสโตเนียครับ เป็นเมืองที่อยู่มานานแล้วตั้งแต่สมัยยุคกลาง แต่ก็เป็นอารมณ์เมืองชายขอบที่เปลี่ยนผู้ปกครองหลายรอบ ทั้งเดนมาร์ก สวีเดน และสุดท้ายไปอยู่กับสหภาพโซเวียต ก่อนที่เอสโตเนียจะประกาศอิสรภาพในปี 1991 และตั้งทาลลินน์เป็นเมืองหลวง
สำหรับการเดินทางโดยเรือสำราญ เราจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนเรือ ออกจากสต็อกโฮล์มเย็นวันแรก ไปถึงทาลลินน์เช้าวันที่ 2 และกลับจากทาลลินน์ในเย็นวันนั้น และมาถึงสต็อกโฮล์มในเช้าวันต่อมา โดยเราจะมีเวลาสำหรับเที่ยวในตัวเมืองทาลลินน์ราว 7 ชม.ครับ
.
คำแนะนำทั่วไป
เนื่องจากทริปนี้ผมมีเวลาค่อนข้างน้อย ดังนั้นเลยเลือกเที่ยวเฉพาะเขต Old town ตามที่ Google Trips แนะนำไปเลยครับ เที่ยวตามนี้ครบก็หมดเวลาพอดี

- ที่เที่ยวในเขต Old town อยู่ใกล้ ๆ กันแทบจะทั้งหมด อยู่ในระยะที่เดินถึงได้ครับ
- ทาลลินน์ยังเป็นเมืองที่ใช้เงินสดอยู่ ไปถึงโบสถ์แล้วจะเข้าไป เขาบอกรับแค่เงินสดจ้า เงิบเลย (คือผมไม่ได้พกเงินสดติดตัวเลยถ้าอยู่ประเทศแถบนี้ ตอนไปเฮลซิงกิก็ไม่พกครับ) สุดท้ายเลยได้ซื้อ Tallinn Card
- แต่การซื้อ Tallinn Card ก็เป็นการตัดสินใจที่คุ้มนะครับ ผมแนะนำให้ซื้อไปเลย เพราะถ้าไปตาม route นี้เสียเกินค่าการ์ดอยู่แล้ว ราคา €25 เข้าสถานที่ท่องเที่ยวได้เกือบหมด แถมได้ขึ้นรถประจำทางและ Hop-on-hop-off ได้ อันนี้ผมเดินจากท่าเรือมาที่เมือง แอบไกลนิด ๆ ถ้าซื้อแต่แรกก็ขึ้นรถมาได้แล้ว
- ถามว่า 7 ชม.นี้พอไหม ผมว่าก็พอไหวสำหรับเขต Old town แต่ถ้าใครอยากรู้จักทาลลินน์นอกเหนือไปจากเขตนี้ อาจต้องมีซัก 3 วันกำลังดีครับ
- ในเขต Old Town นี้มีหอคอยหลายอัน ซึ่งถ้าจะขึ้นเราต้องเดินขึ้นบันได ผมขึ้นหมดทุกอันเลย อันที่เวิร์คจริง ๆ รู้สึกว่าแค่ St Olaf นี่แหละครับ อันอื่นเฉย ๆ แต่เดี๋ยวเอารูปให้ดูครับ
.
เที่ยวในเขต Old Town
ผมเริ่มทริปจากการเดินมาจากท่าเรือ D-Terminal ใช้เวลาประมาณสิบนาทีก็เริ่มเข้าสู่เขตเมืองเก่าครับ




.
St Olaf’s church




.
Tallinn City Museum
ระหว่างทางจากโบสถ์ไปตัวเมืองบังเอิญเห็นพิพิธภัณฑ์นี้พอดีครับ ก็เป็นพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวของเมืองทาลลินน์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้ามี Tallinn Card เข้าชมฟรีครับ

.
St. Catherine’s Passage
อันนี้ก็เป็นย่านที่รวมพวกร้านขายของแนว craft ดูฮิป ๆ ชิค ๆ ดีครับ แต่ก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่นะ ใกล้ ๆ กันมี Dominican Monastery Claustrum แต่ไม่รวมใน Tallinn Card ผมเลยไม่ได้เข้าไปครับ


.
Raekoja plats (Town Hall Square)
ไม่มาตรงนี้นี่คือเหมือนมาไม่ถึงทาลลินน์ครับ มีความคล้ายจัตุรัส Stortorget ในสต็อกโฮล์ม เป็นประมาณจุดศูนย์กลางของเมืองเก่า




.
Raeapteek (Town Hall Pharmacy)
ร้านขายยาที่ขายมาต่อเนื่องยาวนานที่สุดในยุโรป (ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12) อันนี้ก็อยู่ในเขต Town hall square นี่แหละครับ


.
Town Hall
แน่นอนว่าติดกับ Town hall square ก็คือ Town hall เป็น Town hall แบบโกธิคแเห่งเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในเขตยุโรปเหนือ






.
Niguliste Museum (St. Nicholas’ Church)
โบสถ์เก่าแก่อีกแห่งที่สวยดีครับ โบสถ์เคยพังไปสมัย WW II ก่อนจะบูรณะกลับมาเป็นเหมือนในปัจจุบัน




.
Cathedral of Saint Mary the Virgin (Dome Church)
ก็เป็นโบสถ์เก่าแก่อีกแห่งครับ




.
The Parliament Of Estonia
อาคารรัฐสภาของเอสโตเนีย ไม่รู้เปิดให้เข้าไหมนะครับ อาจจะมีทัวร์เป็นรอบ ๆ แต่วันที่ไปผมไม่ได้เข้าไปครับ




.
Alexander Nevsky Cathedral
แต่โบสถ์นี้ห้ามถ่ายภาพภายในครับ เลยไม่ได้ถ่ายมา และภาพนี้ก็ถ่ายมาจากที่อื่น

.
Maiden’s Tower และ Kiek in de Kök
สองอันนี้เชื่อมต่อกัน สามารถเดินจากแห่งหนึ่งมาอีกแห่งได้ แห่งแรกไม่มีอะไรเท่าไหร่ครับ เป็นป้อม ๆ นึง และมีสวนของกษัตริย์เดนมาร์กอยู่ข้างหน้า ส่วนแห่งหลังเป็นหอคอย และมีทางลับที่เอาไว้ต่อสู้ข้าศึก (ผมไม่ได้เข้าไปเพราะจะครบ 7 ชม.แล้วตอนนั้น เลยกลับเลย)



หลังจากนั้นผมก็ขึ้น Hop-on-off bus กลับไปที่ท่าเรือ ก็เป็นอันหมดวันครับ
.
เรือสำราญ Tallink Silja
ทีนี้ก็จะพามาดูเรือสำราญครับ ส่วนตัวผมว่ามันก็ประมาณโรงแรมที่ขยับได้ ขึ้นไปก็จะมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้ทำ
- เวลาซื้อตั๋วจะซื้อเป็น cabin ซึ่งก็มีแบบ 3 คนหรือ 4 คน ดังนั้น ถ้าไปคนเดียว (เช่นผม) ก็จะหนักหน่อย แต่ก็ไม่ได้แพงมากนะครับ ผมซื้อมาราคา €128 ครับ ไป-กลับ
- ถ้าจะไปอย่างเดียวแล้วอยู่เที่ยวต่อเกิน 7 ชม. ก็จ่ายราคาเท่า ๆ นี้เหมือนเดิมครับ ยกเว้นว่าเราจะซื้อแพ็คเกจโรงแรมกับเขาด้วย
- ผมซื้อแพ็คเกจบุฟเฟต์อาหารเช้าเย็น 4 มื้อ มาคิดดูย้อนหลังรู้สึกไม่น่าซื้อเลย ถูกลงแค่ €6
- บุฟเฟต์อาหารเย็นราคาปกติ €33 ก็มีเนื้อ มีอาหารทะเล มีไวน์ คือถามว่าคุ้มไหมก็คุ้มอยู่แหละครับ กินซักมื้อก็ดีอยู่ (แต่ก็ไม่ใช่บุฟเฟต์คุณภาพสูงอะไรนะครับ อารมณ์ประมาณหลาย ๆ อย่างก็ซื้อได้จากซูเปอร์มาร์เก็ต) กินหลายมื้อนี่ไม่ค่อยอินแล้ว ฮ่า ๆ ถ้าจะลองดูแนะนำให้จองวันที่กลับจากทาลลินน์ครับ เพราะคนน้อยกว่าขาไปมาก
- บุฟเฟต์อาหารเช้าราคาปกติ €10.5 เหมือนบุฟเฟต์โรงแรมฝรั่งทั่วไปครับ เน้นพวกแฮม แซลมอน ขนมปัง น้ำผลไม้ กาแฟ ฯลฯ ก็คุ้มอยู่แหละครับ แต่ก็รู้สึกว่าขากลับมากินบนฝั่งก็ได้ หรือไม่ก็ไปกินร้านฟาสต์ฟู้ดก็ได้ครับ
- มีร้านอาหารอื่น ๆ อีกอยู่ครับ ผมแนะนำว่าไม่ต้องจองแพ็คบุฟเฟต์ 4 มื้อหรอกครับ แต่ลองไปกินร้านอื่น ๆ ดูไปด้วยดีกว่า
- บนเรือก็จะมีความบันเทิงอื่น ๆ เช่น ร้านปลอดภาษี บาร์ที่มีการแสดง ห้องประชุม ซาวน่า บาร์บนดาดฟ้า ฯลฯ ขึ้นไปชั่วโมงแรก ๆ ก็ว้าวอยู่ อยู่ไปซัก 6 ชม. ก็เริ่มเบื่อแล้วครับ ฮ่า ๆ
- ถ้าอยากลองของอีกบริษัท route นี้ก็มี Viking Line ให้บริการเช่นกันครับ แต่เขาบอกว่า Tallink เรือใหม่กว่านะครับ
- สรุปผมหมดไปทั้งสิ้น €209 (ราว 8,000 บาท) สำหรับสองคืนและอาหารสี่มื้อ ก็โอแหละครับ แต่รู้สึกไม่ค่อยคุ้ม ฮ่า ๆ
.











.
สรุป
นี่เป็นการล่องเรือสำราญครั้งแรกในชีวิตครับ ก็ประทับใจอยู่ แต่ถามว่าจะมาอีกไหมนี่มาเองก็คงไม่มาครับ ขึ้นเครื่องไปเลยดีกว่า ฮ่า ๆ ยกเว้นเป็น route อื่น หรือเรือบริษัทอื่นก็อยากจะลองนะครับ
สำหรับตัวเมืองทาลลินน์เองก็ประทับใจระดับหนึ่งครับ มีความคล้ายเฮลซิงกิในหลาย ๆ ด้าน แต่ผมก็ยังชอบเฮลซิงกิมากกว่านะ ส่วนตัวที่สนใจเอสโตเนียก็เพราะประทับใจในความ innovative ในแง่การพัฒนาด้าน digital economy ของเขามากกว่าครับ (เช่น 101 World, และ Blognone) เลยอยากมาเยือนซักครั้ง เสียดายมีโอกาสอยู่แค่เขตเมืองเก่า (ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ได้มีอะไรเท่าไหร่) แต่เท่าที่นั่งรถผ่านนอกเขตเมืองเก่าก็เจอตึกใหม่ ๆ น่าสนใจเยอะเหมือนกันครับ ไว้มีโอกาสมาเยือนใหม่ครับ 🙂