จริงๆ บทความนี้ผมเขียนลงครั้งแรกในพันทิปครับ แต่รู้สึกว่าควรเอามาไว้ Blog ตัวเองด้วย ก็เลยก็อปมาครับ อันนี้ก็เป็นทริปตั้งแต่ต้นปี 2558 ก่อนแผ่นดินไหวครั้งใหญ่นิดเดียว หลายๆ อย่างอาจจะเปลี่ยนไปบ้างเหมือนกันครับ
สวัสดีครับ ได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศเนปาลมาเมื่อ 26 ก.พ.–8 มี.ค. 58 ที่ผ่านมาครับ เน้น trekking เป็นหลักนะครับ และก็เที่ยวโพคาราต่ออีกเล็กน้อย ก่อนที่กลับไปกาฐมาณฑุแล้วต้องไปลุ้นต่อว่าจะได้กลับหรือเปล่า เพราะเกิดเหตุเครื่องบิน Turkish Airline ตกรันเวย์ครับ ยกเลิก international flight ทั้งหมด
จริงๆ ตอนก่อนจะออกเดินทาง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเนปาลมีอะไร trekking คืออะไร เพื่อนชวนไปก็ไปแบบงงๆ 55 แต่ไปกลับมาแล้วก็ค่อนข้างชอบนะครับ
รวมๆ เกี่ยวกับประเทศเนปาล
- คนเนปาลใจดี ค่อนข้างไนซ์กับเรา ส่วนใหญ่ที่เจอพูดภาษาอังกฤษได้ในระดับสื่อสารรู้เรื่องครับ
- แปลงค่าเงินเนปาลรูปีเป็นเงินบาทคร่าวๆ ได้โดยการเอา 3 หารครับ เช่น 300 รูปีก็จะ 100 บาท
- แลกเงินที่โรงแรมหรือไกด์จะได้เรทดีกว่าร้านแลกเงินครับ ไม่รู้เพราะอะไร เช่น โรงแรมให้ 1 USD 98 รูปี ร้านให้ 96 หลายๆ ที่ก็รับเงินดอลลาร์นะครับ
- เวลาซื้อของส่วนใหญ่ผมไม่ได้ต่อราคาเท่าไหร่ แต่เห็นเพื่อนต่อกันได้ถึง 30-50% เลยครับ
- การเดินทางระหว่างกาฐมาณฑุและโพคารามีทั้งรถบัสและเครื่องบิน ของผมขาไปนั่งรถบัส ราคา $15 ขากลับนั่งเครื่องบินครับ 100 กว่าๆ ดอลลาร์ ถ้านั่งเครื่องขาไปรู้สึกจะถูกกว่า 100
- ตั๋วรถบัสผมซื้อที่โรงแรมครับ เป็นรถแอร์ tourist bus ไม่ฟิกซ์ที่นั่ง ขึ้นไปก็นั่งเลย แต่รถที่ผมนั่งแอร์ไม่เย็นนะ – -“ พัดลมก็ไม่มี เตาอบมาก สุดท้ายได้เปิดหน้าต่าง คือมันจะมีหลายราคาครับ แนะนำว่าไม่ต้องเอาแบบ include อาหาร เพราะยังไงก็จอดให้กิน
- อุปกรณ์ trekking ถ้ามีเตรียมไปก็ดี แต่ถ้าไม่มีก็ไปหาเอาแถวนั้นก็ได้ครับ ที่กาฐมาณฑุของจะเยอะกว่า แต่ถ้าขี้เกียจขนของ และถ้าอยากเช่าเอาก็ไปเช่าเอาที่โพคาราได้ครับ ของเยอะเหมือนกัน
Nepal trekking 101: เรื่องการ trekking ในเนปาล
- ที่ดังๆ เบสิคๆ แมสๆ แบบคนชอบไปกันมี 2 ที่ คือ poon hill กับ ABC (Annapurna Base Camp) ไปอันใดอันหนึ่งก็ได้ หรือไปสองอันพร้อมกันก็ได้ครับ
- ถ้า poon hill ไปกลับทางเดิม 4-5 วันน่าจะพอ ส่วน abc นี่ไม่แน่ใจครับ ทริปนี้ผมไป poon hill แต่ไม่ได้กลับทางเดิม ใช้เวลา 6 วัน เดินวันนึง 4-5 ชม.
- ก่อนไปต้องไปทำ trekking permit ก่อน อันนี้ถ้ามีไกด์เขาก็จะพาทำเอง เตรียมรูปถ่าย 2 นิ้วไปสองใบ
- เดินยากมั้ย มีวันที่ง่ายวันที่ยาก แต่อย่างผม แทบไม่ได้ออกกำลังกายอะไรเลยเป็นปีๆ ก่อนไปก็เดินได้ครับ วันแรกๆ จะเหนื่อยหน่อย แต่เดี่ยวก็ชิน ทางค่อนข้างดี ส่วนใหญ่จะเป็นขั้นบันได
- ใครอยากซ้อมหาตึกซักตึกแล้วเดินขึ้นบันไดอย่างเดียวซัก 3 ชม.ดูก็ได้ครับ คล้ายๆ กัน 55 แต่อากาศบนนั้นดีกว่ามาก และค่อนข้างเย็นสบาย แต่ตอนเดินถ้าไม่ใช่ช่วงบนๆ หน่อยก็ร้อนอยู่ดี
- วิวข้างบนก็สวยดีตลอดทาง แต่ไม่รู้เทียบกับฝั่งยุโรปแล้วเป็นไง
- ช่วงปลายก.พ.นี้เอาจริงๆ ไม่ค่อยเหมาะครับ เพราะหน้าหนาว หิมะตกหนัก มองไปอาจไม่ค่อยเห็นวิว ถ้าเป็นช่วงกลางถึงปลายมี.ค.อาจจะดีกว่านี้ และช่วงนี้ไม่สามารถไป ABC ได้ครับ เพราะหิมะตกหนักมากจนไปไม่ได้ ช่วงที่ผมไปมีคนติดอยู่บนนั้นจนต้องเอาเฮลิคอปเตอร์ไปรับด้วย
- ไป poon hill จริงๆจ้างลูกหาบอย่างเดียวก็ได้ เขาก็รู้ทางอยู่ แต่ถ้าอยากสบายใจจ้างไกด์ด้วยก็ดีครับ เผื่อมีอุบัติเหตุ หรือเวลาไปถึงที่พักไกด์ก็จะช่วยคุยกับที่พักให้ ภาษาอังกฤษไกด์ก็มักจะดีกว่าลูกหาบ ลูกหาบและไกด์ของผมจ่ายราคาคนละ $20/วัน ลงมาก็มีทิปอีกราวๆคนละ $20 แต่ผมก็ให้เพิ่มไปอีก
- ผมค่อนข้างประทับใจไกด์ที่ร่วมทริปเรา แนะนำเลยครับคนนี้ แกเป็น freelance guide ใครสนใจหลังไมค์ได้ครับ
- ตลอดช่วงที่อยู่ผมไม่มีอาการของ Acute mountain sickness (AMS) เลย เพราะมันไม่ได้สูงมากและไม่ได้ขึ้นเร็ว อากาศบนนั้นถ้าไม่ใช่เขตหมู่บ้านก็ค่อนข้างดี ไม่รู้สึกว่าอากาศบางนะครับ แต่ถ้าเขตหมู่บ้านจะควันเยอะ เพราะเขาเผานู่นเผานี่
- อาหารถ้าช่วงต้นๆ มีให้กินตลอดทาง แบบหิวเมื่อไหร่กินได้เลย แต่ถ้าช่วงสูงๆ ต้องรอถึงหมู่บ้านก่อน ห่างกันราวๆ ชม. ภูเขาทั้งลูกแทบจะเป็นเมนูเดียวกัน มีให้เลือกไม่กี่อย่าง จะมีอาหารเนปาล (Dal bhat, curry) กับอาหารฝรั่ง (spaghetti, pizza, ข้าวผัด) อาหารฝรั่งมักจะจานใหญ่มาก
- ที่พักมีหลายระดับ มีค่อนข้างเยอะ น้ำร้อนก็มักจะมี (เป็นเครื่องทำน้ำอุ่นแบบใช้แก๊ส) แต่บางทีมีเครื่องแต่ก็ไม่อุ่น มีผ้าห่มหนาๆ ให้ แต่ก็ต้องนอนในถุงนอนอยู่ดี (ผมขี้หนาว) บางที่ก็ห้องน้ำในตัว บางทีก็ห้องน้ำรวม
- ห้องน้ำมีให้เข้าตามหมู่บ้าน อารมณ์คล้ายๆห้องน้ำตามชนบทไกลๆ แต่มักจะมีเศษซากบางอย่างอยู่ก่อน แต่ถ้าห้องน้ำตามที่พักก็โอเคอยู่
- เหมาะจะไปกับแฟนมั้ย อันนี้น่าจะแล้วแต่ลักษณะแฟน ที่เห็นบนนั้นก็มีหลายคู่ มันก็มีโมเมนท์ชวนโรแมนติกอยู่ แต่กับบางคู่อาจทะเลาะกันได้ 55
สรุป ผมว่าใครชอบ trekking ควรไปซักครั้ง เพราะการท่องเที่ยวหลักของเนปาลก็คือคนมา trek ครับ ส่วนใครไม่รู้ด้วยซ้ำว่า trek คืออะไร (แบบผมก่อนจะไป 55) ลองดูซักครั้งก็ดีครับ คุ้มอยู่ เหมือนมันจะยากแต่มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น
ของที่ควรเตรียมไป
กลุ่ม Must have
- รองเท้า trekking แบบลุยหิมะได้ ขอบคุณตัวเองมากที่ซื้อสิ่งนี้มา ซื้อมาจากร้าน decathlon ที่บางนาทาวเวอร์ครับ (BTS บางนาต่อแท็กซี่ประมาณ 100 บาท) ซื้อมา 1,5xx ครับ
- ไม้ trekking อันนี้เห็นบางคนก็ไม่ใช้ แต่ผมรู้สึกมันช่วยชีวิตผมมาก
- Knee support อันนี้ผมไม่ได้ซื้อ จำเป็นมากตอนขาลงครับ ยังปวดเข่าถึงทุกวันนี้ T.T
- เสื้อ fleece และ เสื้อกันลม บนนั้นมันไม่ได้หนาวมากนะครับ แถวๆ ศูนย์องศาแหละ จะหนาวตอนเช้าๆ แต่เวลาเดินส่วนใหญ่ก็ร้อน ยกเว้นวันที่เดินแถว poon hill อันนั้นใส่จัดเต็ม
- เสื้อกันฝน เพราะหลายวันมันก็ฝนตก
- กางเกง trekking ซื้อเอาที่โน่นก็ได้ครับ เดินสะดวกกว่ายีนส์เยอะ ผมซื้อตัวเดียวใส่หกวันเลย
- ถุงนอน -20 องศา อันนี้ไปเช่าเอาได้ครับ 6 วัน 500 รูปี
- Powerbank ความจุเยอะๆ เพราะบางทีมันก็ไม่สะดวกที่จะชาร์จ
กลุ่ม Nice to have
- หมวก มีก็ดีครับ แต่ผมไม่ได้ใช้เลย เพราะไม่ค่อยแดด ส่วนแว่นกันแดดจะจำเป็นวันที่หิมะเยอะๆ ครับ เพราะมันจะแยงตา แต่ผมก็ไม่ได้ใส่อีกนั่นแหละ = =
- ถุงเท้าแบบหนา ไม่รู้เรียกอะไรเหมือนกันครับ ไว้ใส่นอน
- ช็อกโกแลตมีก็ดีครับ ผมได้กินอยู่ครั้งสองครั้ง เวลาหิวๆ แต่ยังเดินไม่ถึง จริงๆ หลักๆ หมดไปกับแจกเด็กมากกว่า
- น้ำ: ไกด์ขนให้ตลอดทาง พกไว้กับตัวเองไม่เยอะ หมดเมื่อไหร่ก็ไปเติม
- ไฟฉาย: ได้ใช้วันเดียวตอนตื่นแต่เช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Poon hill
- เสื้อผ้าไปเปลี่ยน เนื่องจากส่วนใหญ่ก็ได้อาบน้ำอยู่ หรือใครจะซักเอาก็ได้ครับ
- โหลด offline map ติดเครื่องไว้ เวลาไม่แน่ใจว่าถูกทางหรือเปล่าจะได้ดู เพราะเวลาไปกันหลายๆ คน แต่ละคนจะเดินห่างกันมาก ไกด์ก็ต้องอยู่กับคนท้ายๆ เป็นหลักมากกว่า จนใกล้จะถึงเขาอาจจะแซงคนแรกขึ้นไปบอกทาง
Day 1: เดินทางถึงกาฐมาณฑุ
พวกเราไปถึงกาฐมาณฑุราวๆ เที่ยง เดินออกจากสนามบินมาเจอคนมาทัก บอกมีโรงแรมมีแท็กซี่หรือยัง ยังไม่มีเดี๋ยวพาไปดูนะ ถ้าไม่ชอบก็เปลี่ยนได้ จริงๆ ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบสไตล์แบบนี้เท่าไหร่ แต่ก็ไปกับเขา สรุปไปได้โรงแรม Hotel Pariwar อะไรซักอย่าง เป็นห้องรวม 4 คน ราคาคนละ $3 เท่านั้น คือถูกมาก แต่คุณภาพห้องก็ไม่ได้ดีมาก และน้ำอุ่นก็ไม่ค่อยจะอุ่น เราก็แลกเงินและจองตั๋วรถบัสจากที่โรงแรมเลย
ถึงคุณภาพโรงแรมจะไม่ได้ดีมาก แต่เจ้าของใจดีครับ เย็นๆ เขาจัดปาร์ตี้กันในหมู่เพื่อนเจ้าของโรงแรม แล้วเขาก็ชวนเรากิน BBQ ด้วย กินฟรี อย่างอิ่ม ค่ากินนี่แพงกว่า $3 อีก คิดว่า 55
Day 2: นั่งรถไปโพคารา
เช้าวันรุ่งขึ้นราวๆ 6:30 โรงแรมก็มีรถมาส่งเราที่สถานีรถบัส ใช้เวลาราวๆ 8 ชม.ก็มาถึงโพคารา ไกด์ที่เราติดต่อไว้จากที่ไทยก็มารับเราที่สถานี แล้วพาไปทำ trekking permit เล็กน้อย ก่อนจะพาเราไปโรงแรม อธิบายแผนการ trek เล็กน้อย จ่ายเงินอะไรกันเรียบร้อย เย็นๆ ก็ออกไปหาอะไรกินกับเตรียมข้าวของเครื่องใช้สำหรับ trek
Day 3: Naya Pol – Ulleri
วันนี้เป็นวันที่จะเริ่ม trek ครับ โดยแผนการเดินของเราจะเป็นดังในภาพ คร่าวๆ ก็คือไป Poon hill แต่ไม่ได้กลับทางเดิม เดินอ้อมไป Chomrong แล้วกลับลงมาครับ โดยวันแรกเป้าหมายของเราคือที่ Ulleri
(คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขนาดเต็ม)
วิวจากดาดฟ้าของโรงแรม มองเห็นภูเขาหิมาลัย

ประมาณ 8:00 น. ไกด์ก็มาพาเราออกจากโรงแรมเดินทางไปที่ Naya Pol ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการเดิน ในภาพคือบรรยากาศบริเวณ Naya Pol ครับ ร้องเพลงกัน

บรรยากาศการเดินวันแรก


อาบน้ำตอนกลางวัน คาดว่าเพราะอาบตอนเย็นๆ หรือเช้าเนี่ยจะหนาวมาก

ชาวบ้านแถวนั้น

วันแรกเป็นการเดินขึ้นๆๆ ขึ้นอย่างเดียว ช่วงก่อนเที่ยงที่เป็นถนนนี่ไม่เท่าไหร่ หลังเที่ยงที่เป็นบันไดนี่โหดมาก สำหรับคนไม่เคยเดิน T.T (อย่างที่บอกครับ เหมือนเดินขึ้นบันไดอย่างเดียว 3 ชม.ติด)

ห้องน้ำระหว่างทาง เป็นประมาณนี้แหละครับ ช่วงต้นๆ มีเยอะอยู่ บนๆ ต้องรอถึงหมู่บ้าน

ลองมองย้อนไป รู้สึกว่าก็เดินมาไกลอยู่

สุดท้ายเราก็มาถึง Ulleri ครับ วิวจากที่พัก

Day 4: Ulleri – Ghorepani
วันนี้เราจะเดินจาก Ulleri ไปที่ Ghorepani ครับ ซึ่งเป็นเมืองที่ใกล้กับ Poon hill เป็นวันที่เดินได้ง่ายๆ สบายๆ ทางไม่ได้ขึ้นชันมากเหมือนวันแรก และใช้เวลาเดินไม่นาน เราออก 9 โมง ไปถึงบ่ายสาม มีเวลาชิลๆ เยอะเลย เอาจริงๆ ผมว่าถ้าใครพลังเยอะจริงๆ วันเดียวจาก Naya Pol ไป Ghorepani เลยก็อาจจะเป็นไปได้นะครับ
บรรยากาศระหว่างทาง จะเป็นบันไดๆ อยู่ในป่าแบบนี้แหละครับ ก็เดินขึ้นไปเรื่อยๆ

สะพานสวยดี

ไม่นานก็มาถึงครับ Ghorepani ในภาพนี้คือ Heater ในแบบคนเนปาลบนภูเขา ข้างในปล่องจะเป็นกองไฟ ทุกคนก็มานั่งรอบๆ ปล่องอันนี้ อุ่นดีครับ ใครมีเสื้อผ้ามีอะไรไม่แห้งก็เอามาตาก
เวลาอยู่ใกล้เตานี่ระวังเสื้อผ้าดีๆนะครับ โดนแล้วละลายได้ ผมทำเสื้อที่เช่ามาไหม้ โดนค่าปรับไปเยอะอยู่ T.T

ตกเย็นมาหิมะก็ตก เป็นครั้งแรกในชีวิตผมเลยฮะที่เห็นหิมะของจริง ซาบซึ้ง T.T

Day 5: Poon hill – Tadapani
วันนี้เราตื่นแต่เช้ากันประมาณตี 5 เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Poon hill แต่พอไปถึงนี่ ไม่เห็นอะไรเลยจ้าา ขาวโพลนไปหมด :3


ทุกคนเข้ามาหลบหิมะอยู่ในร้านน้ำชา

สุดท้ายเราก็เดินลง เพราะคงไม่เห็นอะไรครับ ผมชอบนะ เพิ่งเคยเดินย่ำหิมะครั้งแรก

พอเดินไปถึง Ghorepani หิมะก็หยุดแล้ว พอมองเห็นวิว

เราพักกินข้าวเช้า เก็บข้าวของ เพื่อเดินทางต่อไปที่ Tadapani ครับ วิวระหว่างทางสวยเลย

ระหว่างทาง

ทะเลหมอก ถ้ามีเลนส์ไวด์นี่น่าจะฟิน แต่ก็นะครับ นี่เอาไปแค่เลนส์คิทก็หนักแล้ว – -“

การเดินไป Tadapani นี่ช่วงแรกจะขึ้นเขาครับ แล้วก็จะลง พอลงเสร็จก็จะขึ้นอีกรอบ เวลาขึ้นลงบันได โดยมีหิมะอยู่ด้วยนี่ค่อนข้างลื่นทีเดียวครับ เพื่อนผมล้มไปหลายรอบ

ที่เนปาล ตามริมแม่น้ำ คนจะนิยมเอาหินมาเรียงต่อกัน มีความหมายว่าโชคดี (ไกด์บอก)

เดินไปหิมะเริ่มละลาย

เราออกจาก Ghorepani ราวๆ 11 โมง ไปถึง Tadapani ราวๆ 18.00 ครับ เย็นๆ หมอกเริ่มลง

ที่พักที่ Tadapani จริงๆ ที่พักก็แนวๆ นี้หมดครับส่วนใหญ่

ซูมถ่ายยอด Fish Tail (Machhapuchchhre) จากที่พักครับ

Day 6: Tadapani – Chomrong
วันนี้เดินจาก Tadapani ไป Chomrong ครับ เอาจริงๆ ไม่ค่อยมีอะไร ก็เดินชมวิวไปเรื่อยครับ สวยดี
Fish tail อีกมุมหนึ่ง

Fish tail แบบเห็น Tadapani ด้วย ส่วนดอกสีชมพูๆ คือดอก Rhododendron หรือกุหลาบพันปีเป็นดอกไม้ประจำชาติเนปาลที่บานเฉพาะช่วงนี้ (ขอบคุณข้อมูลจาก comment ในพันทิปครับ)

บรรยากาศภายในเมือง Tadapani ครับ

ระหว่างทางก็เป็นเขียวๆ ชื้นๆ สดชื่นดีครับ


บางทีก็หมอกลงแบบ Silent hill

บรรยากาศระหว่างเดิน วิวสวย อากาศดีครับ ชอบๆ

สะพานนี้จริงๆ หวาดเสียวมาก กว้างราวๆ 50 เมตรเลย

แม่น้ำ มองจากบนสะพาน

ไกด์ของกลุ่มเราเองครับ ถ่ายกับชาวบ้านแถวนั้น

ส่วนคนนี้ลูกหาบ

Day 7: Chomrong – Tolka
วันนี้เริ่มต้นการเดินลงแล้วครับ จาก Chomrong ไปยัง Tolka เริ่มต้นด้วยการถ่ายภูเขาแถวๆนั้น


บรรยากาศระหว่างเดิน



ระหว่างทางเจอป้าสองคนนี้ บอกให้ถ่ายรูปตัวเอง ก็เลยถ่ายไป หลังถ่ายเสร็จเก็บเงินจ้า หลังจากนั้นมาความมั่นใจในการถ่ายรูปชาวบ้านผมลดฮวบ – -“

เดินต่อไป

สุดท้ายก็ไปถึง Tolka ครับ ที่พักไม่มีอะไรโดดเด่นทั้งวิวและตัวที่พักเอง แต่ก็เป็นคืนสุดท้ายที่จะได้นอนบนภูเขา ก็รู้สึกผูกพันธ์เล็กๆ เหมือนกันครับ
Day 8: Tolka – Kande – โพคารา
วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของการเดินแล้วครับ ไม่มีอะไรมาก เดินราวๆ สามชม. ก็ลงมาถึง Kande ครับ โรงแรมระหว่างทาง แลดูชิลดีครับ

ทางไปโพคารา

พอเดินลงมาถึงด้านล่างก็ขึ้นรถต่อ เห็นงี้แต่รถนี้ไม่มีแอร์นะครับ 55 แต่ก็โอเคครับ คือก็ไม่ได้ร้อน

พอดีวันนี้เป็นช่วงฉลอง Holi festival พอดี ก็คือคนทั้งเมืองจะเอาสีมาป้ายกันน่ะครับ คล้ายๆ สงกรานต์บ้านเรา ก็เลยออกไปเล่นกับเขา
ซื้อสีก่อน ผมลืมแล้วว่าราคาเท่าไหร่

สวนกับใครก็สลับกันปะแป้งอะไรงี้ แต่เล่นกันไม่ได้เป็นสีเยอะๆ แบบที่อินเดีย

การแสดงลิง

ไม่รู้คนที่แต่งตัวแบบนี้เรียกอะไรเหมือนกันครับ แต่แปลกดี ถ่ายกับเพื่อนผม

ถ้าเป็นแก๊งค์วัยรุ่นหน่อยก็จะมีเปิดเพลงดังๆ แล้วเต้นกัน สงกรานต์มาก

Day 9: เที่ยวโพคารา
เช้านี้ผมตื่นมาขึ้นเครื่องบินเล็กชมวิวเมืองครับ เวลา 5 นาที ราคา 70 euro ขึ้นไปจริงก็ตื่นเต้นดีอยู่ครับ แต่ถามว่าคุ้มมั้ยก็ไม่ค่อยคุ้มหรอก คือมันก็เห็นแค่วิวเมืองโพคารา ไม่ได้แบบบินร่อนไปในภูเขาไรงี้ครับ ใครสนใจลองเข้าไปดูที่เว็บเขาได้ครับ http://flypokhara.com/
เป็นเครื่องแบบนี้ครับ

วิวทะเลสาบ Phewa Lake

ถ้าบาดเจ็บบนเขา จะเป็นเฮลิคอปเตอร์แบบนี้แหละครับขึ้นไปรับ

หลังจากลงจากเขามาแล้วเราก็ไปเที่ยวในเมือง ไกด์บอกเป็นบริการเสริมของเขาอยู่แล้ว เขาก็เลยพาไป ก็ไปวัดไปถ้ำ ไปแม่น้ำ อะไรแบบนี้แหละครับ จริงๆ ก็ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่
วัดฮินดู

แม่น้ำ Seti เห็นบอกเป็นน้ำไหลมาจากหิมาลัย

เด็กที่ร้านอาหารทิเบต เหมือนกำลังทะเลาะกับแม่อยู่ อาหารทิเบตนี่ก็อร่อยครับ ต้องลองๆ

ใกล้ๆ กันก็เป็นวัดทิเบต

และเณร

กับสองตายาย

ตกเย็นไปเที่ยววัด Barahi เป็นวัดอยู่กลางทะเลสาบ Phewa ต้องนั่งเรือไป

ภายในวัด

บรรยากาศรอบๆ ทะเลสาบ

เมฆใหญ่ดี

Day 10: กาฐมาณฑุ
วันนี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ ราวๆ สิบโมงก็ออกจากโรงแรมไปสนามบินแล้วขึ้นเครื่องไปกาฐมาณฑุ
นั่งไปกับ Simrik Airlines

แอร์โฮสเตจบนเครื่อง

เขาบอกว่าถ้านั่งฝั่งซ้ายจะเห็นภูเขาหิมาลัยด้วย คือก็เห็นแค่นี้แหละครับ

ไปถึงกาฐมาณฑุรถจากโรงแรมมารับ วันนี้ผมไม่ค่อยสบายเล็กน้อย เลยไม่ได้ทำอะไรมากครับ เดินเที่ยวเล่นในเมือง ดึกๆ ออกไปหาเบียร์กิน รอกลับพรุ่งนี้

พระทิเบต

Day 11: กลับไทย
ก่อนวันที่พวกผมจะมาถึงกาฐมาณฑุ มีอุบัติเหตุเครื่องบินของสายการบิน Turkish Airlines ตกรันเวย์ขวางทางอยู่ ทำให้ต้องยกเลิก international flight ไปหลายวัน ทำให้มีผู้โดยสารตกค้างอยู่เยอะมาก วันที่ 8 นี่ผมก็ยังลุ้นๆ อยู่ว่าจะได้กลับไหม แต่เช็คดูก็ไม่เห็นข่าวการยกเลิกไฟลท์ ก็เลยลองไปดูละกัน
ไปถึงก็เยอะสุดๆ จริงๆ ครับ ไม่เคยต่อแถวเช็คอินจากนอกสนามบินมาก่อน บรรยากาศนี่ World War Z มากๆ เบียดกันสุดๆ ใครแทรกได้เป็นแทรก ผมก็คงแทรกใครซักคนไปเหมือนกัน ไฟลท์ 13:50 น. พวกผมไปถึง 10:00 น. กว่าจะเช็คอินได้ราวๆ 13:30 น. ลุ้นมาก (แต่ก็คิดว่ายังไงไฟลท์ก็คงดีเลย์อยู่แล้ว) ขอเอาภาพจากมือถือมาลงละกันครับ

ผ่านเช็คอินไปแล้ว กว่าจะผ่านด่านตรวจคนออกจากเมือง กว่าจะไปถึงเกท พอไปถึงเกทก็พบว่าคนรอเยอะมาก สุดท้ายกว่าจะได้ขึ้นกว่าเครื่องจะออกจริงๆ ก็ราวๆ 17:00 ถ้าใครต้องไปประเทศเนปาล แล้วเจอเหตุการณ์ประมาณนี้ ส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะไปเร็วๆ ครับ เพราะคนจะเยอะมาก ถึงเครื่องมันน่าจะดีเลย์อยู่แล้วก็เถอะ แต่ตอนรอมันก็ลุ้นๆ น่ะครับว่าจะทันไหม อะไรแบบนั้น

มีคนบอกเหมือนกันว่านั่งขากลับให้นั่งทางซ้ายติดหน้าต่าง จะเห็นหิมาลัย เห็นเท่านี้แหละครับ 55

ข้อคิดจากการเดิน
ก็หมดแล้วครับสำหรับทริปเนปาลครั้งนี้ ระหว่างเดินผมรู้สึกว่าการเดินเขากับการเดินไปสู่จุดหมายของชีวิตนี่มันก็มีอะไรคล้ายๆกันนะครับ แต่ก็รู้สึกยังไม่ตกตะกอนเท่าไหร่ และชีวิตผมก็ยังไม่ได้ไปถึงไหน
- วันแรก การเดินขึ้นเขาเป็นชั่วโมงๆ นี่เป็นอะไรที่เหนื่อยมาก แต่มันจะเหนื่อยน้อยลงๆ ในวันหลังๆ จนวันท้ายๆ นี่รู้สึกว่า จะขึ้นจะลงยังไงก็มาเถอะ ถ้าชีวิตทำอะไรใหญ่ๆ อยู่ตลอด ซักวันก็น่าจะรู้สึกว่ามันไม่ได้ยากครับ
- โฟกัสที่แต่ละก้าว คุมจังหวะการหายใจดีๆ ถ้าเผลอปุ๊บนี่เหนื่อยเลย ดูทางดีๆ ถ้าเผลอก็จะลื่น ต้องโฟกัสกับสิ่งที่ทำอยู่
- มองทางข้างหน้าไกลๆ พอให้รู้ว่าถูกทาง แต่อย่ามองบ่อย มันจะท้อแบบ โอโห ชีวิตนี้จะถึงป่าววะ ถ้าเน้นเดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก เดี๋ยวก็ถึงเอง start small แต่วันหลังๆ มองได้นะ เพราะระยะที่ตามองเห็นได้มันจะรู้สึกว่า แค่นี้เองหรอ ขำๆ
- เดินในจังหวะที่พอดีกับตัวเรา ไม่ช้าจนไปไม่ถึงไหน ไม่เร็วไปจนหอบกับพื้น มันเป็นจุดที่พอดีระหว่างการออกจาก comfort zone แต่ไม่ถึงกับเกินกำลัง
- หลงทางบนเขานี่น่าเศร้ามาก พอถึงทางแยกสำคัญควรมีไกด์ หรือถามคนที่เคยไปมาก่อน แต่ถ้าไม่มีซักอย่างควรเช็คบ่อยๆ ว่าอยู่ตรงไหนแล้ว ถ้าผิดจะได้กลับทัน เจอหลายคนครับมาเองแล้วหลง ฟังแล้วก็ โถวว 55 แต่อีกมุมนึงก็น่าสนุกครับ 🙂
ไว้เจอกันใหม่ทริปหน้าครับ