วันที่ 20 ก.พ. เป็นวันที่มีความหมายต่อผมวันหนึ่งครับ เพราะเป็นวันที่ผมตั้งใจว่าจะเป็นการลาออกครั้งสุดท้าย เลยเป็นธรรมเนียมประจำตัวของผมที่ทุกวันที่ 20 ก.พ. จะมาสรุปชีวิตประจำปี แต่ปีนี้เป็นปีที่มีความเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง ดังนั้นเลยคิดว่าปีนี้คงเป็นปีสุดท้ายแล้วครับที่ทำสรุปชีวิตในวันที่ 20 นี้ ต่อไปคงย้ายไปวันสิ้นปีแทน เนื่องในโอกาสนี้เลยสรุปเป็น blog ไปเลยครับ 🙂
Prologue
จุดเริ่มต้นจริงๆ มันเริ่มจากตอนเป็นนักศึกษาแพทย์ครับ ผมชอบเรื่องไอที ตอนนั้นเลยได้มีโอกาสได้รับความกรุณาจากอาจารย์หลายๆ ท่านที่รพ.รามาฯ รับว่าถ้าเรียนจบแล้ว ใช้ทุนเรียบร้อยแล้ว จะรับเข้ามาทำงานในรพ.รามาฯ และให้ทุนรพ.ส่งไปเรียนต่อด้าน Health Informatics ในต่างประเทศต่อไป ผมก็เรียนจบ ใช้ทุนเรียบร้อย และเข้าไปทำงานในรพ.รามาฯ ตามที่หวังไว้ บุญคุญของอาจารย์หลายๆ ท่าน ผมยังสำนึกอยู่ถึงทุกวันนี้
การทำงานในรพ.รามาฯ สอนอะไรผมหลายๆ อย่าง แต่ก็มีหลายๆ อย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะกับรพ.รามาฯ คือถ้าเอาทุนไปเรียน ก็ต้องกลับมาทำงาน 2 เท่าในองค์กรที่เรารู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะ (4 ปี) มันก็ลำบากใจอยู่ ประกอบกับช่วงนั้นกระแสสตาร์ทอัพกำลังมา ผมเริ่มอ่านหนังสือแนว startup หลายๆ เล่มแล้วอิน ไม่เรียนมันแล้ว college drop-off ดีกว่า 555 ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าทำ startup มันง่าย ทำไอเดียพื้นๆ แก้ปัญหาใกล้ๆ ตัวนี่แหละ ตัวแรกๆ อาจเฟลแต่ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยว success แน่นอน จริงๆ ตอนนั้นนับว่ามีความอยากรวยเร็วอยู่ด้วยเยอะเหมือนกัน
สุดท้ายวันที่ 20 ก.พ. 56 ผมก็ยื่นใบลาออกจากรพ.รามาฯ มาครับ ก็ยังรู้สึกผิดต่ออาจารย์หลายๆ ท่านมาจนถึงทุกวันนี้ T.T (แต่มองย้อนกลับไปผมคิดว่าผมตัดสินใจถูกนะ) เป็นที่มาของ status Facebook นี้ 555
20 ก.พ. 56

อ่านดูแล้วก็ตลกดีเหมือนกันครับ 55 อย่างที่บอกตอนนั้นคิดว่ามันง่าย ไอเดียยุบยิบอะไรก็จะทำไปหมด ตอนนั้นผมกับพี่ตั้มไปประกวด AIS startup เข้ารอบมาด้วยครับ กำลังคึก อารมณ์แบบทุกอย่างเป็นไปได้
สิ่งที่ทำในปีนั้น:
- Flophr.com เว็บหาช่างภาพ (ปิดตัวแล้ว) – ตัวอย่าง
สิ่งที่เรียนรู้:
- Startup มันไม่ง่าย
- Lean startup
- HTML/CSS/basic jQuery
20 ก.พ. 57
และเนื่องจากเหตุการณ์ในปีที่แล้ว จึงเป็นที่มาของ status Facebook นี้

ดราม่ามาก 555 emotion มาเต็ม แปลสเตตัสก็คือรู้สึกผิดต่อเพื่อนๆ ที่ร่วมทีมกันมา ตอนนั้นผมทำหน้าที่ business development เป็นหลัก พังมาก หลังจาก Flophr ปิดไปผมก็เริ่มมีความเชื่อว่า startup กับ passion เป็นสิ่งที่ต้องมาคู่กัน (จริงๆ ไม่เสมอไปนะครับ) ก็เลยเอาวะ เป็นหมอ ปัญหาในวงการแพทย์มีเยอะแยะ เราจะแก้ปัญหาเล็กๆ ใกล้ๆ ตัวเรานี่แหละ (ยังไม่ทิ้งคอนเซปท์แก้ปัญหาเล็กๆ) ก็เลยร่วมกับพี่ตั้มก่อตั้ง Iamdr ขึ้นมาครับ
สิ่งที่ทำในปีนั้น:
- drbook – platform สำหรับเปิด medical reference ภาษาไทย (ปิดตัวไปแล้ว) ลองอ่านมหากาพย์การสร้างได้ที่ blog นี้ How drbook fail, แชร์ประสบการณ์ fail ศาสตร์
- drjob, nursejob – เว็บหางานสำหรับแพทย์และพยาบาล (ปิดตัวไปแล้ว)
- readclinic – เว็บอ่านบทความทางการแพทย์จากวารสารคลินิก (ปิดตัวไปแล้ว จริงๆ แม้แต่วารสารคลินิกก็ปิดแล้ว ณ ปัจจุบัน)
- เริ่มรับทำเว็บให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ บ้างประปราย
สิ่งที่เรียนรู้:
- แนว business นี่เยอะมากนะครับ ลองอ่านในบล็อก drbook fail ด้านบน จริงๆ อีกสองโปรเจคท์นี่ก็เขียนได้นะ 555 เป็นประสบการณ์เฟลไปอีกแบบ
- ePub 3
20 ก.พ. 58

แปลเสตตัสก็คือ drjob, nursejob (2 อันนี้นับเป็นอันเดียว) และ readclinic นี่เสร็จแล้ว สร้างรายได้แล้วด้วย (คือไม่เคยมีรายได้จาก product มาก่อนไง 555) แต่ readclinic น่าจะไม่น่ารอด เหลือ drbook ยังไม่เสร็จ (ตอนนั้นคือ dev ไปร่วมปีแล้วครับ) ตอนนั้นเริ่มจับทางได้แล้วว่าที่ทำอยู่น่าจะไม่เวิร์คซักอัน เลยว่าจะทำอันใหม่ ปัญหาตอนนั้นคือก่อนจะทำอันใหม่ก็อยากทำอันเก่าให้มันอยู่ได้ด้วยตัวมันเองไปก่อน สุดท้ายกว่าจะได้เริ่มทำ Health at Home ก็ปลายปี
จริงๆ product ทั้งหลายที่ทำนี่ พี่ตั้มใช้คำว่าอะไรซักอย่าง (ผมลืม) ที่แบบซื้อตั๋วหนังไปแล้ว เข้าไปดูไปครึ่งเรื่องแล้ว หนังมันไม่สนุกหรอก แต่เราก็ไม่อยากลุกออกมา นั่นแหละครับ สุดท้ายได้ zombie business มา และก็ตายอยู่ดี
สิ่งที่ทำในปีนั้น:
- รวม drjob, nursejob เป็น lifejob อันนี้ยังเปิดอยู่ แต่ไม่ทำอะไรกับมันแล้ว
- พยายามเข็น readclinic อยู่พักนึง สุดท้ายก็ปิดไป
- drbook เสร็จแล้ว แต่เนื่องจากหลายโปรเจคท์จัด พี่ตั้มก็ยุ่งกับงานประจำ ไม่มีใครดู กระแสตอบรับก็แป้กๆ ก็เลยเป็น zombie อยู่ทั้งปี
- ได้ลองจับงานทำ Digital marketing ให้รัชวิภา เอ็ม อาร์ ไอ หาทีมทำ SEO, ทำ content ฯลฯ ก็สนุกไปอีกแบบครับ
- ทำเว็บทำแอพให้เพื่อนพี่น้องและลูกค้าบ้างประปราย
สิ่งที่เรียนรู้:
- เรื่อง business ก็เยอะอยู่ครับ จริงๆ มันก็ต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว
- ธุรกิจ Digital agency
- ตัดสินใจเรียน Udacity Front-end Developer Nanodegree เป็นหนึ่งในคอร์สที่รู้สึกว่าคุ้มที่สุดแล้ว ทำให้ skill ก้าวกระโดดพอสมควร
20 ก.พ. 59

เป็นปีที่เริ่มลดความดราม่าของสเตตัสวันที่ 20 ก.พ. ลง เลยคิดว่าไม่ต้องแปล 555
สิ่งที่ทำในปีนั้น:
- เป็นปีที่โฟกัสที่ Health at Home ตัวเดียวแล้ว นับเป็น product ที่ดูมีอนาคตที่สุดตั้งแต่ทำมา แต่ระหว่างทางก็ไม่ได้สมูทนะ รู้สึกเหมือนอยู่บน roller coaster อยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง 55
- ดันจับพลัดจับผลูได้มาเรียนต่อ Health Informatics ที่สวีเดน (อันนี้บล็อกเรื่องทุน)
- ก่อนมาได้กลับไปอยู่ขอนแก่น 1 เดือน นับว่าเป็นการกลับบ้านที่นานที่สุดในรอบ 4-5 ปี
สิ่งที่เรียนรู้:
- ทำ Health at Home นี่ได้ไปในที่ที่ไม่คิดว่าจะได้ไปเยอะครับ
- JS framework: Backbone, Angular
- การใช้ชีวิตในต่างประเทศในฐานะนักเรียนทุน
- ชอบอยู่กรุงเทพฯ มากกว่าขอนแก่น ชอบอยู่ Stockholm มากกว่ากรุงเทพฯ
20 ก.พ. 60 (ปัจจุบัน)
การเขียนครั้งสุดท้ายสำหรับวันที่ 20 ก.พ.
ด้านล่างนี้คือ mindset ที่ครอบผมมา 4 ปี
ผมรู้สึกมาตลอดว่าชีวิตคนเราส่วนใหญ่มันมีความ miserable บางอย่าง เราต้องฝืนทำงานที่ไม่อยากจะทำ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เราไม่อยากอยู่ แต่เราก็ไม่สามารถหลุดไปไหนได้ เหมือนเกิดมาก็ติดคุกแล้ว การมีเงินเป็นทางหนึ่งที่เราจะแหกคุกได้ (ไม่อยากใช้คำว่าอิสรภาพทางการเงินเท่าไหร่)
logic ผมเคยเป็นประมาณนี้ครับ A). การที่เราจะมีเงินพอที่จะแหกคุก มีแต่ต้องทำธุรกิจเท่านั้นที่จะทำให้เราทำสำเร็จได้ตั้งแต่อายุยังไม่เยอะ B). มีแต่การเป็นนายตัวเองเท่านั้น ที่เราจะสามารถทำในสิ่งที่เป็น passion ของเราไปพร้อมๆ กันได้ C). และมีแต่ธุรกิจประเภท startup เท่านั้น ที่คนที่ไม่มีต้นทุนอะไรเลยจะทำได้ D). บริษัทขนาดใหญ่ล้วนไม่น่าทำงานด้วย ดังนั้น A) + B) + C) + D) = startup เป็นธุรกิจประเภทเดียวที่ผมจะทำ ผมรู้สึกว่าตัวเองมองการทำ startup เป็นเหมือนหนทางสู่การหลุดพ้นบางอย่าง 555
time-skip มา 4 ปี ผมรู้สึกว่า mindset ที่เคยเชื่อนี้ไม่เชิงว่าจะเป็นความจริงแท้หนึ่งเดียวเสียทีเดียว เพราะ:
- มีคนมากมาย ที่มีความสุขกับชีวิต ได้ทำงานที่มี passion โดยที่ไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจ
- มีคนมากมาย ที่มีความสุขดีกับชีวิต โดยเป็นเจ้าของธุรกิจเล็กๆ พอมีกำไร พอเติบโตบ้าง แต่ไม่ได้จะ win the market
- มีคนมากมาย ที่เขารู้สึกโอเคกับชีวิตที่อาจไม่ได้ทำงานที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่มีเวลามาทำสิ่งที่ชอบ หรือมีเวลาอยู่กับคนที่เขารู้สึกว่าสำคัญ
- Corporate ที่สภาพการทำงานดีๆ ก็มีอยู่
- และอื่นๆ อีกมากมาย
สิ่งที่เราเคยเชื่อว่ามันเป็นคุก มันอาจเป็นสิ่งที่ความคิดของเราสร้างขึ้นมาเอง จริงๆ มันไม่เคยมีอยู่เลย และเราไม่จำเป็นต้องแหกคุกอะไรก็เป็นได้นะครับ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ผมไม่แน่ใจว่าเป้าหมายเดิมของชีวิตยังเป็นสิ่งที่ผมต้องการ ณ ปัจจุบันหรือเปล่า ตอนนี้เลยเป็น no idea โดยสิ้นเชิงว่าชีวิตอยากจะไปไหน
คือตั้งแต่เริ่มโตมา อ่านหนังสือแนว 7 habits แนว startup เหมือนถูกฝังหัวมาตลอดว่าชึวิตคุณต้องมีเป้าหมายนะ มี purpose, มี goal ว่า 5 ปี 10 ปีคุณจะอยู่ตรงไหน ทำไงจะมีอิสรภาพทางการเงิน คุณจะตายแบบไหน ฯลฯ นี่นับเป็นครั้งแรกเหมือนกันที่บอกได้เลยว่าชีวิตไม่มีเป้าหมายอะไรเลย มีแค่เป้าหมายระยะสั้นๆ คือถามว่า 10 ปีข้างหน้าจะทำอะไร อันนี้ตอบไม่ได้ ตอบได้แค่ว่า 3 เดือนนี้จะทำอะไร
แต่ผมก็ไม่รู้สึกว่าการไม่มีเป้าหมายเป็นปัญหาอะไรนะ ตรงกันข้าม สิ่งที่คนเชื่อกันเยอะๆ บางทีมันกลับห่วยซะอีก ดังนั้นคิดว่าช่วงปีนี้คงใช้ชีวิตแบบนี้แหละครับ keep life agile, responding to change, เปิดใจรับไอเดียใหม่ๆ
เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ไหน และจะไปไหนต่อ เลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องบันทึกนับจากวันที่ลาออกแล้ว ขอ reset ใหม่หมดละกันครับ ไว้สิ้นปีมาอัพเดทครับว่าเป็นไงบ้าง 🙂
Epilogue: จะกลับไทยหรือเปล่า
ทุกวันนี้ก็ยังตอบไม่ได้ครับ 55 (อย่างที่บอกว่าตอบได้แค่ 3 เดือนหน้าจะทำอะไร) แต่สิ่งที่บอกได้ก็คือ ชีวิตในกรุงเทพฯ มันเศร้านะครับ การคมนาคมที่แย่ เมืองที่แออัด อากาศที่แย่ ทางเท้าเดินไม่ได้ รายได้ต่ำถ้าเทียบกับค่าครองชีพ สารพัดปัญหาครับ อยู่แล้วเหนื่อยกับการใช้ชีวิตในแต่ละวัน คือความ miserable ที่ผมพูดถึงด้านบน มันมีปัจจัยเรื่องสังคมมาเกี่ยวเยอะมาก
คือถ้าใครเคยมาอยู่ในเมืองที่ค่อนข้างพัฒนาจะนึกภาพออกว่ามันต่างจากกรุงเทพฯ ยังไง สำหรับผมเอง ชอบ Stockholm มาก (แต่ไม่ใช่ว่าเมืองเขาจะ perfect นะครับ ก็มีปัญหาของเขา) ถ้าจะไม่ได้อยู่ที่นี่ต่อก็อยากอยู่เมืองประมาณนี้
สำหรับ Health at Home เอง เนื่องจากตั้งแต่มาอยู่นี่ ด้วยภาระงานด้านการเรียน ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง เลยค่อนข้างลำบากที่ผมจะ deliver งาน ปัจจุบันก็เลยลดบทบาทตัวเองออกมาแล้วครับ พร้อมกับลดสัดส่วนจำนวนหุ้นลง เสียดายเหมือนกันแหละครับ ก็คิดว่าคงคงสภาพแบบนี้ไปก่อน ส่วนจะกลับไปทำ Full-time หรือเปล่าก็เป็นเรื่องของอนาคตครับ แต่ยืนยันนะครับว่าในมุมมองผม Health at Home ดูมีอนาคตมาก
อีกใจนึงผมก็อยากลองทำอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่ใช่ startup
- อยากลองทำงานใน corporate ต่างประเทศ เพื่อเรียนรู้งาน, ระบบการทำงาน, ฝึกทักษะหลายๆ อย่าง, ฝึก business etiquette
- อยากลองทำบริษัทที่ขายเทคโนโลยีเป็น product หลักดู
- อยากลองทำสาย non-profit
- อยากหา mentor ซักคน
- และอื่นๆ
แต่การจะได้งานดีๆ ทำในต่างประเทศนี่ก็ไม่ง่ายนะครับ ต้องใช้ความพยายามสูงเอาการเหมือนกัน แต่อย่างไรก็อยากลองดูครับ ตั้งเป้าหมายสูงไว้ก่อน ถึงพลาดมาอย่างไรก็คงพอได้ที่โอเคอยู่บ้าง และชีวิตในต่างประเทศเองมันก็มีความลำบากในแบบของมัน คือถ้าเริ่มแก่นี่คงกลับไปอยู่ไทยดีกว่า
————————————
ก็จบแล้วครับสำหรับ blog นี้ ยาวเลย ไว้มีโอกาสมาอัพเดทเรื่อยๆ ครับว่าชีวิตเป็นไงบ้าง 🙂
ปล. แต่ถ้าอยากจะวัดว่าทำได้แค่ไหนกับเป้าหมายแรกสุด เรื่อง 10 ล้าน ขอตอบสั้นๆ ว่ารอฟังข่าวละกันครับ 🙂 แต่ valuation ของ startup มันก็แค่ตัวเลขแหละครับ อะไรก็เกิดขึ้นได้ สามเดือนหน้าอาจเป็น 100 ล้าน หรือ 0 บาท ก็เป็นได้ทั้งนั้น อย่าไปอินมากครับ (และตอนนี้ผมก็ถือหุ้นอยู่น้อยมากๆ แล้ว เพราะงั้น จนเหมือนเดิม 55)
กะว่าเข้ามาอ่าน Designing you life แป๊บเดียว ไหงยาวมาถึงตรงนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ ขำตัวเองเหมือนกัน 55
Reset ชีวิตอยู่เหมือนกัน ก็..ตามนั้น รอยินดีกับ…เส้นทางที่ตัดสินใจเลือกแล้วfulfillนะคะ
ถ้าล้มเมื่อไหร่ก็มองข้างๆได้ เราก็คงล้มอยู่เหมือนกัน 55 😀
ขอบคุณที่แชร์เรื่องราวให้ฟังค่ะ ได้คิดตามเยอะเหมือนกัน ขอให้โชคดีนะคะ!
ขอบคุณนะครับ จะคอยติดตามครับ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
ขอบคุณครับ ^.^
สนุกมากครับ และขยายมุมมองอะไรใหม่ ๆ ได้เยอะเลย
เป็นกำลังใจให้นะครับ… 🙂
เข้ามาอ่านเรื่องเมือง Helsinki กดมาอ่านเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ สิ่งนึงที่เห็นคุณหมอเขียนบทความอ่านแล้วสนุกคะ
เพลินดี