สรุปหนังสือ How To Explain Absolutely Anything to Absolutely Anyone

หลัง ๆ มานี้รู้สึกมีงานบรรยายเยอะ เลยคิดว่าควรศึกษาเรื่องการอธิบายเนื้อหาไว้บ้าง ไปเสิร์ช ๆ เจอเล่มนี้เลยลองอ่านดูครับ

หนังสือเป็นแนว how to แบบเอาทฤษฎีทางการศึกษามาสนับสนุนข้อเขียนของตนเอง เนื้อหาส่วนใหญ่พูดถึงการสอนนักเรียนในโรงเรียน (แต่ก็อาจจะประยุกต์กับเรื่องอื่นได้) ส่วนตัวจริง ๆ รู้สึกว่าหลาย ๆ ไอเดียก็น่าสนใจดี แต่ส่วนใหญ่ก็ค่อนข้าง common sense (แค่อาจมีการเอาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุน) ไม่ถึงกับ wow แบบเปลี่ยนชีวิตอะไรนะครับ อย่างไรก็ดี คิดว่ามีหลายประเด็นน่าสนใจ จึงได้สรุปไว้ ณ ที่นี้ครับ

Chapter 1: Subject Knowledge

  • คุณค่าของความรู้ในแขนงต่าง ๆ มี 2 แบบ
    • Instrumental value: ประโยชน์ต่อสังคมและต่อตนเอง เช่น ทำให้ทำข้อสอบผ่าน ทำให้หาเงินได้ ทำให้ได้ทำอาชีพที่กำลังขาดแคลน
    • Intrinsic value: คุณค่าที่ได้จากการได้เรียนรู้วิชานั้น ๆ เช่น การได้มองโลกด้วยมุมมองใหม่ ๆ
  • การอธิบายที่ทำให้ผู้เรียนเข้าถึง intrinsic value ได้ จะทำให้การอธิบายนั้นทรงพลังกว่า
  • การจะทำให้ผู้เรียนเข้าถึง intrinsic value นั้นได้ ผู้สอนต้องเข้าใจคุณค่านั้นในมุมของตนเองก่อน ตัวอย่างคำถามเพื่อการเข้าใจตนเอง
ภาพจากหนังสือ How To Explain Absolutely Anything to Absolutely Anyone, Andy Tharby
  • วิธีอธิบายหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจตัววิชา คือการอธิบายระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ ของสาขาวิชานั้น เช่น วิธีคิด วัฒนธรรม ความสัมพันธ์ของวิชาต่อมนุษย์หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ
  • อาจมีการใช้แผนภาพอธิบายภาพใหญ่ของวิชา (เหมือนมีแผนที่ทางเดินรถไฟใต้ดิน) เพื่อให้ผู้เรียนทราบขอบเขตและแนวทางการเรียนในแต่ละขั้น
  • มีกล่าวถึงว่า การเรียนในโรงเรียน คือการทำให้เด็กได้เข้าถึงความรู้ที่ทรงพลัง (powerful knowledge) ซึ่งเขาไม่สามารถที่จะมีได้ด้วยตนเอง หรือสภาพแวดล้อมที่บ้าน แต่เมื่อได้ไปแล้วทำให้เขาเข้าใจโลกในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
  • 3 วิธีที่จะช่วยให้เราอธิบายได้ดีขึ้น 1) ทำความเข้าใจจุดที่ผู้เรียนมักจะเข้าใจผิด 2) เข้าใจจุดที่เรามักจะตกอยู่ใน “curse of knowledge” 3) พยายามเข้าใจจุดที่เป็น unknown unknown ในสาขาความรู้ของเรา
    • curse of knowledge คือ เมื่อเรารู้เรื่องหนึ่ง ๆ ลึกขึ้น เราอาจไม่สามารถเข้าใจได้ว่าผู้อื่นไม่เข้าใจได้อย่างไร

Chapter 2: Credibility and clarity

  • การจะมีความน่าเชื่อถือในการอธิบายได้ ต้องทำตาม Rhetoric – the art of persuasion ของอริสโตเติล ซึ่งประกอบด้วย 3 อย่าง และมักต้องทำไปด้วยกัน
    • Ethos: เราเป็นใคร มี connection กับผู้ฟังอย่างไร การแสดงให้ผู้ฟังได้เห็นว่าเรารักและเชื่อในสิ่งที่เรากำลังอธิบาย และเราเป็นผู้ที่ให้ความเคารพต่อผู้ฟัง
    • Logos: โน้มน้าวด้วยเหตุผลและตรรกะ ก็คืออธิบายได้มีเหตุมีผล อธิบายเรื่องยาก ๆ ได้อย่างชัดเจน
    • Pathos: โน้มน้าวด้วยการสร้างอารมณ์ร่วมให้ผู้ฟัง มีความ empathy ต่อผู้ฟัง/นักเรียน
  • อีกงานวิจัย meta-analysis ในปี 2009 บอกว่าความน่าเชื่อถือของผู้สอน มีที่มาจาก 3 อย่าง คือ
    • Competence: สื่อสารความรู้ได้อย่างมีประสิทธิผล
    • Trustworthiness: มีความจริงใจ เช่น ส่วนไหนที่ของเนื้อหาที่น่าสงสัยหรือน่าจะมี bias ก็ชี้แจงอย่างโปร่งใส
    • Caring: มีการใช้ caring message ทั้ง verbal และ non-verbal
ภาพจากหนังสือ How To Explain Absolutely Anything to Absolutely Anyone, Andy Tharby
  • อีกงานวิจัยให้ความสำคัญกับการเป็น authentic teacher ซึ่งมีคุณสมบัติคือ approachable, passionate, attentive, capable, และ knowledgeable
    • ผู้เรียนจะรู้สึกว่าผู้สอน authentic หากมีการเล่า personal stories ที่เกี่ยวข้องกับวิชา เช่น เล่าถึงความลำบากสมัยเรียนวิชานั้น หรือความลำบากสมัยเป็นนักเรียน
    • ผู้เรียนชอบผู้สอนที่พูดเนื้อหาด้วยความคิดของตนเอง มากกว่าจะแค่พูดซ้ำสิ่งที่อยู่ใน textbook
  • ในด้านการอธิบายให้มีความชัดเจนมากขึ้น ผู้เขียนแนะนำ 6 เรื่อง
    1. อธิบายว่าแต่ละบทเรียน มีความสัมพันธ์อย่างไรในภาพใหญ่ เกี่ยวข้องอย่างไรกับเนื้อหาก่อนหน้า
    2. ใช้ภาษาง่าย ๆ แต่ชัดเจน (concise and concrete) ในการกำหนดวัตถุประสงค์การเรียน
    3. ถ้ามี instruction ให้ทำอะไร บางทีอาจยากที่จะอธิบาย (เช่น ให้วาดรูปให้สวย) อาจใช้วิธีให้ตัวอย่างรูปที่สวยให้ดู
    4. อธิบายให้ชัด แต่เป็นภาษาง่าย ๆ ว่าจะวัดผลอย่างไร
    5. ถ้าจะเขียน feedback อธิบาย ควรพยายามทำความเข้าใจวิธีคิดของผู้เรียนแล้วเขียน feedback ให้ชัดเจน ถ้าเป็นไปได้ควรพูดคุยดีกว่า
    6. พยายามสร้างการจัดระเบียบความรู้ สำหรับสาขาวิชาที่สอน ดังภาพด้านล่าง
ภาพจากหนังสือ How To Explain Absolutely Anything to Absolutely Anyone, Andy Tharby

Chapter 3: Explanation design

  • เวลาที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ในเรื่องใหม่ ๆ การให้คำอธิบายอย่างชัดแจ้ง (explicit instruction ก็คือการสอนแหละครับ) ให้ผลการเรียนที่ดีกว่าการให้ผู้เรียนได้ค้นคว้าด้วยตนเองโดยให้คำแนะนำให้น้อยที่สุด (minimal guidance) แต่ในทางตรงกันข้าม หากผู้เรียนเริ่มมีความรู้มากขึ้น วิธีหลังจะให้ผลที่ดีกว่า
  • working memory ของผู้เรียนมีจำกัด หน้าที่ผู้สอนคือไม่ทำให้ working memory ตรงนี้ overload และพยายามเปลี่ยนให้ working memory กลายเป็น long-term memory
  • Cognitive load
    • Intrinsic load: load ที่เกิดจากความยากของเนื้อหานั้น ๆ เอง
    • Extraneous load: load ที่เกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น สไลด์บรรยายที่รก
    • Germane load: load ที่เปลี่ยน working memory เป็น long-term memory
  • การออกแบบบทเรียนให้ลด load
    • แบ่งบทเรียนให้เป็นหน่วยย่อย ๆ การพยายามอธิบายให้เยอะมีงานวิจัยมากมายว่าไม่ได้ผล
    • ให้จุดสนใจของผู้เรียนเป็นไปทีละจุด เช่น เอารูปกับคำอธิบายไว้ที่เดียวกัน ไม่ต้องเปิดไปเปิดมา
    • ลดข้อมูลซ้ำซ้อน เช่น ไม่พูดไปด้วยในขณะที่ผู้เรียนกำลังอ่านเนื้อหายาว ๆ, ไม่พูดออกนอกประเด็นมาก, ไม่ใส่รูปที่ไม่จำเป็น
      • แต่หากเป็นข้อมูลที่มีความซับซ้อนสูง การมีจุดที่ผู้เรียนสามารถอ่านไปด้วยได้หากหลุดประเด็นไหนไป ก็เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์
    • ลด distraction เช่น โทรศัพท์มือถือ คนเปิดเข้าเปิดออก
    • เน้นย้ำ หรือพูดซ้ำในประเด็นสำคัญ ในเวลาที่ต่างกัน หรือใช้สื่อการสอนช่วย
    • ให้ตัวอย่างวิธีทำที่สมบูรณ์ (worked example) ค่อยให้ผู้เรียนทำตาม
  • การใช้ทั้งภาพและเสียงไปพร้อมกัน ทำให้ผู้เรียนเข้าใจได้มากกว่า (modality effect)
    • การเปิดให้เห็นภาพทีละส่วนจะช่วยให้เข้าใจได้มากกว่า
  • ปิดท้ายด้วยคำแนะนำเรื่องสไลด์
ภาพจากหนังสือ How To Explain Absolutely Anything to Absolutely Anyone, Andy Tharby

Chapter 4: Concepts, examples and misconceptions

  • เป้าหมายของการสอนคือการให้ผู้เรียนเข้าใจ conceptual knowledge ซึ่งมักประกอบขึ้นจากความรู้หลาย ๆ อย่างในประเด็นที่สนใจ เช่น
    • Factual knowledge: ความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง
    • Scientific knowledge: ความรู้ที่เกิดจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
    • Moral knowledge: การประเมินว่าสิ่งใดถูกหรือผิด
    • Aesthetic knowledge: การประเมินว่าสิ่งใดงามหรือไม่งาม ตามสุนทรียศาสตร์
    • Procedural (practical) knowledge: ความรู้ในขั้นตอนการทำงาน
    • Metacognitive knowledge: ความรู้เกี่ยวกับการประเมินความรู้ของตนเอง
    • เช่น จะประเมินนิยายก็ต้องมี factual และ scientific knowledge เพื่อประเมินว่าโลกในนิยาย make sense หรือไม่ การกระทำของตัวละครในทาง moral เป็นอย่างไร การเขียนนั้นงดงามทาง aesthetic หรือไม่ และในทาง procedure แล้วการเขียนนั้นใช้วิธีการเล่าเรื่องอย่างไร เป็นต้น
  • การทำให้ผู้เรียนเข้าใจ conceptual knowledge ได้มักต้องทำผ่านการยกตัวอย่างที่เป็น concrete, memorable real-world examples
  • การยกตัวอย่างที่ดี ควรมีลักษณะดังนี้
    • It should connect to what a student already knows.
    • It should be as simple as possible.
    • It should appeal to the senses.
    • It should be easy to transfer to new contexts.
    • It should be memorable.
    • It should come in multiples.
    • It should aim to provoke an emotional response.
  • การยกตัวอย่าง อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ซึ่งอาจลดปัญหานี้ได้โดยการใช้หลาย ๆ ตัวอย่าง โดยให้มี ความหลากหลายของบริบทการใช้ (range of contexts) และความหลากหลายของรูปแบบ (small variations) เช่น หากต้องการยกตัวอย่างการใช้ ‘s ก็อาจทำได้ดังนี้
ภาพจากหนังสือ How To Explain Absolutely Anything to Absolutely Anyone, Andy Tharby
  • อีกวิธีหนึ่งการให้ตัวอย่างที่ใช่และไม่ใช่ เช่น ตัวอย่าง A ✅ ตัวอย่าง B ✅ แต่ตัวอย่าง C ❌ เป็นต้น
  • อีกวิธีคือการใช้ attribute มาช่วย ซึ่ง concept อาจมี attribute ที่เป็น must have หรือ may have

ภาพจากหนังสือ How To Explain Absolutely Anything to Absolutely Anyone, Andy Tharby
  • ความเข้าใจผิดของผู้เรียนเป็นเรื่องที่จัดการยาก บางทีก็เป็นความเชื่อฝังลึก อาจต้องใช้ความร่วมมือของหลายฝ่าย วิธีหนึ่งที่อาจทำได้คือให้ผู้เรียนลองอธิบายสิ่งที่ตนเข้าใจเกี่ยวกับวิชานั้น ๆ ก่อนเริ่มเรียน และวิธีอื่น ๆ

Chapter 5: Metaphor and analogy

  • การเปรียบเทียบ (metaphor) เป็นเครื่องมือที่ดีที่จะเชื่อมโยงความรู้ที่ต้องการถ่ายทอด กับความรู้ที่ผู้เรียนมีอยู่ เป็นประโยชน์เมื่อต้องสอนเรื่องที่เป็นนามธรรมสูงที่มีตัวอย่างจากโลกความเป็นจริงน้อย
  • ควรใช้การเปรียบเทียบเป็นจุดเริ่มต้นไม่ใช่จุดจบ และควรใช้อย่างระวัง เพราะอาจสร้างความเข้าใจที่ผิด ๆ ได้ง่าย
ภาพจากหนังสือ How To Explain Absolutely Anything to Absolutely Anyone, Andy Tharby
  • ต้นกำเนิดของการเปรียบเทียบ อาจมาจาก social, physical หรือ emotional experience ที่ผู้เรียนเคยประสบ
  • การสร้างการเปรียบเทียบ ควรมีลักษณะ 4 อย่าง
    • Transformative: เช่น การตัดสินใจของมนุษย์เป็นการแข่งขันกันระหว่างแรงสองทาง ช้างกับควาญช้าง อารมณ์เป็นเหมือนช้าง จิตสำนึกส่วนควบคุมอารมณ์เหมือนควาญช้าง
    • Relevant: เช่น อธิบายเงินเฟ้อโดยการเปรียบเทียบกับราคาอาหารในศูนย์อาหารของโรงเรียน
      • ข้อควรระวังของวิธีนี้คือ สิ่งที่เปรียบเทียบอาจไม่ relevant กับทุกคน ต้องรู้จักผู้เรียนก่อน
      • ส่วนที่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้มีหลายระดับ เช่น เปรียบเทียบกับร่างกาย (ใกล้ตัวที่สุด), สภาพแวดล้อมใกล้ตัว (เช่นห้องที่กำลังอยู่), สภาพแวดล้อมที่ห่างออก (โรงเรียน) และ สังคมวัฒนธรรม
    • Distinct: ถ้าการเปรียบเทียบของ 2 วิชา ใช้สิ่งเดียวกันเปรียบเทียบ อาจสร้างความสับสนได้
      • การใช้ non-analogies ก็อาจช่วยให้เข้าใจของเขตวิชา เช่น ผิวหนังคนเหมือนหรือต่างอย่างไรกับพื้นผิวของใบไม้ ?
    • Visual: การใช้ภาพเข้ามาช่วยในการเปรียบเทียบ เช่น เปรียบเทียบไข่ กับเปลือกโลก

Chapter 6: Storytelling

  • สนองของมนุษย์เรียนรู้จากเรื่องเล่าได้ดี น่าสนใจ และจดจำได้ง่าย
  • เรื่องเล่าทำให้เกิด simulation (knowledge about how to act) และ inspiration (motivation to act) ซึ่งทั้งสองอย่างสามารถนำไปสู่ action ได้
  • ผู้สอนสามารถนำเรื่องราวความรุ่งเรืองหรือตกต่ำของผู้เรียนในอดีตมาเล่าได้
  • งานวิจัย แสดงแนวทางการเล่าเรื่องที่พบบ่อย 6 แบบ
    • “Rags to riches” (rise)
    • “Tragedy”, or “Riches to rags” (fall)
    • “Man in a hole” (fall–rise)
    • “Icarus” (rise–fall)
    • “Cinderella” (rise–fall–rise)
    • “Oedipus” (fall–rise–fall)
  • ผู้สอนควรหา “human element” ในเรื่องเล่าของวิชาต่าง ๆ ทำให้ผู้เรียนรู้สึกว่าวิชานั้น relavant กับตนมากขึ้น เช่น คนที่เสียสละเพื่อค้นพบเรื่องบางอย่าง หรือ เด็กเวียดนามที่โดนลูกหลงจากระเบิดในสงคราม
  • อาจใช้วิธีเล่าเรื่องผ่าน conflict -> solution -> obstacle loop เช่น ใน TED talk ‘How Radio Telescopes Show Us Unseen Galaxies’
    • Problem 1: the universe is too vast to view.
    • Solution 1: the advent of the telescope.
    • Problem 2: the visible spectrum only shows a tiny slice of the known universe because everything appears red.
    • Solution 2: radio astronomy means that we can peer more deeply into the known universe.
    • Problem 3: radio waves have low resolution.
    • Solution 3: build huge radio telescopes in flat, dry, radio-quiet locations.
    • Problem 4: these are still not sensitive enough to pick up very low and faint frequencies.
    • Solution 4: build a radio telescope one thousand times bigger and more sensitive that may allow us to watch the beginning of time itself.
  • ในการเล่าเรื่อง ผู้ฟังมักจำตอนต้นกับตอนจบได้ แต่จำตอนกลางไม่ค่อยได้ อาจเอาเรื่องสำคัญไว้หัวท้าย และเน้นย้ำประเด็นสำคัญช่วงกลาง ๆ
  • เวลาอธิบายศัพท์ทางเทคนิค อาจมีการบอกที่มาของคำด้วย ผู้เรียนจะจำได้มากขึ้น
  • อาจใช้วิธีการเชื่อมโยงหลักสูตรให้เหมือนเป็นเรื่องเล่ายาว ๆ เรื่องหนึ่ง เช่น เรื่องเล่ายาว 5 ปี

Chapter 7: Elaboration

  • Each learner develops personal knowledge that is a unique reconstruction of the teacher’s knowledge -> แต่ละคนสร้างความรู้ออกมาได้ไม่เหมือนกัน
  • เมื่ออธิบายเสร็จแล้วควรคั่นกลางหรือตามด้วยกิจกรรมที่ทำให้ผู้เรียนได้อธิบายสิ่งที่เข้าใจและคิดทบทวนในเนื้อหาที่ได้รับใหม่
  • อย่าถามว่าเข้าใจไหม เพราะทุกคนจะตอบว่าเข้าใจ ให้ถามในสิ่งที่จะทำให้เขาได้อธิบาย อย่าถามยากไป และให้ถามให้ทั่วถึงด้วย
  • การทบทวนเป็นระยะมีความสำคัญ ควรใส่ไว้ในหลักสูตร ด้วยวิธีต่าง ๆ
  • อาจมีการใช้ Dialogic teaching คือการใช้บทสนทนาในการเรียน

Conclusion

บทนี้จริง ๆ ไม่ค่อยมีอะไร แต่ผมชอบส่วนที่เป็น check-list เอาไว้ดูเวลาคนอื่นสอน ผมว่าใช้ประเมินตนเองได้เช่นกัน ซึ่งมีดังนี้

  1. Introduction is clear.
  2. Purpose of lesson is explained.
  3. Content is conceptual.
  4. Links are made to previous and/or future learning.
  5. New vocabulary is clarified through etymology/morphology.
  6. Key ideas are made salient and repeated.
  7. Language is combined with images.
  8. Short bursts of explanation are followed by practice.
  9. Parts of explanation are linked together.
  10. Attention is ‘funnelled’.
  11. Real-world examples are used.
  12. Multiple examples are used.
  13. Non-examples are used.
  14. Concrete analogies are used.
  15. Misconceptions are highlighted and addressed.
  16. Features of storytelling are used.
  17. Students’ grasp of main ideas is checked.
  18. Students elaborate.
  19. Retrieval practice is embedded. Students maintain attention.
  20. Changes to voice and gesture emphasise key points.

ก็จบแล้วครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *